เผือกหอม


เผือกหอม  ลักษณะทางธรรมชาติ
เป็น พืชอายุสั้นฤดูกาลเดียวแต่ปลูกได้หลายรุ่นโดยมีหน่อขยายพันธุ์ต่อ  ซึ่งการขยายพันธุ์นี้สามารถจับแยกออกไปปลูกใหม่ในแหล่งอื่นหรือปล่อยให้ต้น ขยายพันธุ์เองตามธรรมชาติเหมือนกล้วย  ปลูกได้ทุกภาค  ทุกพื้นที่  และทุกฤดูกาล เจริญเติบโตดีในดินดำร่วนหรือดินทรายร่วนมีอินทรีย์วัตถุมากๆ  ระบายน้ำดี  ความชื้นพอเหมาะ  ทนต่อสภาพน้ำท่วมขังค้างนานได้แต่ต้นจะชะงักการเจริญเติบโตหรือโตช้า ขนาดหัวเล็ก การเกิดตะเกียงและลูกซอไม่ดี ถึงมีก็คุณภาพไม่ดี  อายุต้นหลังปลูก 1 เดือน ช่วงนี้ควรมีใบ 10-14 ใบ เริ่มให้สารอาหารกลุ่มสร้างใบบำรุงต้น  และเมื่ออายุต้นหลังปลูก 4 เดือน ช่วงนี้ไม่ควรมีใบ 8-10 ใบ  ทุกใบควรหนาเขียวเข้มก้านใบใหญ่แข็งแรง  ชูใบแผ่กางรับแสงแดดได้เต็มพื้นที่หน้าใบทุกใบ  และเริ่มให้สารอาหารกลุ่มสร้างแป้งและน้ำตาล  อายุต้นตั้งแต่เริ่มปลูกยืนต้นได้ถึงเก็บเกี่ยว 7-12 เดือนขึ้นกับสายพันธุ์ (พันธุ์หนัก/พันธุ์เบา) และการปฏิบัติบำรุง นอกจากบริโภคส่วนหัวแล้ว  ส่วนใบและก้านใบ ก็ใช้บริโภคได้  ซึ่งส่วนใหญ่ใบและก้านส่งออกต่างประเทศ

ลักษณะเผือก
ส่วนหัว คือ  แหล่งสะสมอาหาร  ตราบใดที่ยังบำรุงด้วยสารอาหารกลุ่ม   สร้างแป้ง-น้ำตาล  อย่างสม่ำเสมอ  ทั้งทางรากและทางใบ ตราบนั้นขนาดหัวก็จะใหญ่และมีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ  แม้จะได้อายุเก็บเกี่ยวแล้วก็ตาม  เมื่อต้นโตขึ้นถึงระยะลงหัวแล้วจะมี  ลูกเผือกหรือลูกซอ  เป็นเผือกหัวเล็กๆเกิดที่ด้าน
ล่างหัวแม่ ซึ่งลูกซอเหล่านี้จะเจริญเติบโตมีขนาดใหญ่และคุณภาพดีขึ้นต้องอาศัยอาหารจากต้นแม่ 
หลังจากนั้นจะมี  ตะเกียง  เป็นลูกเผือกเหมือนกันแต่งอกออกมาจากด้านข้างเหนือพื้นดินของหัวแม่
อีก  จำนวนลูกซอหรือตะเกียงจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และการบำรุง   ทั้งลูกซอและตะเกียงใช้บริโภคหรือใช้ขยายพันธุ์ได้โดยลูกซอให้คุณภาพในการ ขยายพันธุ์ดีกว่าตะเกียง  ระหว่างต้นกำลังเจริญเติบโตนั้น   ไม่ควรปล่อยตะเกียงไว้แต่ให้หมั่นเด็ดทิ้งตั้งแต่เริ่มแทงออกมาให้เห็นเพื่อ ไม่ให้สิ้นเปลือกน้ำเลี้ยง  ส่วนลูกซออยู่ใต้หัวแม่ให้คงเก็บไว้

หลังจากเก็บเกี่ยว (ถอน) หัวต้นแม่ออกไปแล้ว  ปล่อยลูกซอทิ้งไว้ที่เดิมโดยไม่มีการเคลื่อนย้ายใดๆทั้งสิ้น ให้คลุมด้วยแกลบดำ (เก่าค้างปี) หนาๆ ทับด้วยเศษหญ้าหรือฟางแห้งอีกชั้นเพื่อรักษาความชื้นและไม่ต้องให้น้ำจะช่วย รักษาไว้ได้นานนับเดือนโดยลูกซอกไม่งอก เมื่อไม่ให้น้ำแล้วก็ต้องป้องกันน้ำค้างหรือน้ำฝนตกใส่ด้วยมิฉะนั้นลูกซอจะ งอก  ถ้าจะไม่ปล่อยทิ้งลูกซอไว้ที่หลุมเดิมก็ได้แต่ต้องทำหลุมขนาดลึก 20-30 ซม. กว้าง/ยาวตามความเหมาะสม  อยู่โคนต้นไม้หรือที่ร่มเย็น  อากาศถ่ายเทสะดวก  ไม่มีแสงแดด  และป้องกันน้ำได้ดี รองก้นหลุมด้วยแกลบดำ หนา 5-10 ซม. ปรับเรียบแกลบดำ แล้ววางเรียงลูกซอที่เก็บมาจากหลุมเดิม (ไม่ต้องล้าง) ลงไป  โรยแกลบดำทับหนา 10-20 ซม.  คลุมด้วยเศษ
หญ้า หรือฟางแห้งหนาๆอีกชั้นหนึ่ง  ก็สามารถเก็บรักษาลูกซอได้นาน 8-10 เดือนเช่นกัน โดยไม่เสื่อมความงอกและเป็นการพักต้นก่อนนำไปเพาะขยายพันธุ์ต่อ  ซึ่งจะส่งผลให้ได้เปอร์เซ็นต์ความงอกสูง
เผือกมีดอก  เป็นดอกสมบูรณ์เพศผสมตัวเองหรือต่างดอกต่างต้นได้  เมื่อดอกพัฒนาเป็นผลจนมีเมล็ดแล้วนำเมล็ดไปขยายพันธุ์ได้แต่กลายพันธุ์และ ให้ผลผลิตช้า  เคยมีผู้เปรียบเทียบไว้ว่า  พื้นที่ไร่ต่อไร่  ปลูกเผือกรายได้มากว่าข้าว 7 เท่า   โดยเผือก  1 รุ่น 7 เดือนกับนาข้าว 2 รุ่น 7 เดือนเท่ากัน                

สายพันธุ์
1.เผือกหอม       พิจิตร-016.  พิจิตร-019.  พิจิตร-08.    เผือกหอมเชียงใหม่.
2.เผือกไม่หอม  พิจิตร-06.  พิจิตร-025.  พิจิตร-012               
3.พันธุ์พื้นเมือง  เผือกเหลือง  เผือกไม้หรือเผือกไหหลำ.  เผือกตาแดง. เผือกน้ำ. หัวขนาดเล็ก  (500-800 กรัม) เนื้อแน่น รสชาติดี               
4.พันธุ์เนื้อสีขาวหรือครีม  พิจิตร-06,-07,-025,-014 (เผือกบราซิล),ศรีปาลาวี.ศรีรัศมี (เผือกอินเดีย)
5.พันธุ์เนื้อสีขาวอมม่วง   เผือกหอมเชียงใหม่.  พิจิตร-016,-08,-05,-020.                

หมายเหตุ :             
    - เผือกหอมพิจิตร-016 แตกตะเกียง 10-12 ตะเกียง/ต้น ทำให้ประหยัดเวลาและแรง
งานปลิดตะเกียงทิ้งเพื่อไม่ให้แย่งอาหารจากต้น (หัว) แม่   มีเปอร์เซ็นต์และน้ำตาลสูงสุดในบรรดา
เผือกทุกสายพันธุ์   ส่วนเผือกหอมเชียงใหม่  20-25 ตะเกียง/ต้น               
    - เผือกน้ำต้องปลูกในแปลงมีน้ำหล่อ  ระดับน้ำลึกพอท่วมคอดินจะโตเร็วให้ผลผลิตดี
                   
เตรียมดิน อินทรีย์วัตถุ และแปลงปลูก                         
1.ไถดินเปล่าให้ขี้ไถขนาดใหญ่  ทิ้งตากแดดจัด 15-20 แดดเพื่อฆ่าเชื้อโรคและกำจัดเหง้าวัชพืช               
2.ใส่ อินทรีย์วัตถุ  ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม + มูลไก่ไข่/เนื้อ + มูลค้างคาว) หมักข้ามปี  ยิบซั่มธรรมชาติ. กระดูกป่น. เศษพืช. หว่านทั่วแปลงปลูกแล้วไถพรวนอินทรียวัตถุคลุกเคล้าลงดินให้ทั่ว ถึง               
.ไถยกร่องลูกฟูก  สันร่องกว้าง 1-1.20 ม. โค้งหลังเต่า  สูงจากพื้นระดับ  30-50 ซม.  ร่องทางเดินระหว่างสันแปลงกว้าง 1 ม. ลึก 20-30 ซม.จากพื้นระดับ
4.คลุมหน้าแปลงด้วยฟางหรือหญ้าแห้งหนาๆ               
5.บ่ม ดินโดยรดด้วย น้ำ + จุลินทรีย์หน่อกล้วยหรือปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง (เน้น...มูลค้างคาวหมัก) ทุก 5-7 วัน  ติดต่อกันนาน  1 เดือน  เพื่อให้เวลาแก่จุลินทรีย์ปรับสภาพดิน กำจัดเชื้อโรค และย่อยสลายอินทรีย์วัตถุให้เป็นฮิวมิค แอซิด               
6.ลงมือปลูกต้นกล้าที่เพาะไว้ล่วงหน้าแล้วโดยปลูกที่ริมสันลูกฟูกเป็น  2 แถวคู่ตรงกันหรือ
สลับฟันปลาก็ได้
            
หมายเหตุ :               
    - ดัดแปลงร่องทางเดินข้างสันลูกฟูกสำหรับปล่อยน้ำ (น้ำเปล่าหรือน้ำสารอาหาร) จากลาดสูง
ไปหาลาดต่ำเข้าไปหล่อในร่องได้ 1-2 เดือน/ครั้งจะดีมาก               
    - ติดตั้งระบบสปริงเกอร์เหนือยอด 30-50 ซม.สำหรับให้น้ำเปล่า  น้ำสารอาหาร หรือ
สารสกัดสมุนไพรนอกจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของเนื้องานแล้วยังช่วยประหยัดทั้งเวลา
และแรงงานอีกด้วย                

เตรียมสารอาหารเสริม                
    - ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง (เน้น...มูลค้างคาวหมัก)หรือจุลินทรีย์ 1-2 เดือน/ครั้ง               
    - ให้ฮอร์โมนบำรุงพืชกินหัว (มูลสัตว์ปีกสกัด) 1-2 เดือน/ครั้ง  หลังจากเริ่มลงหัวแล้ว
    - ให้ ฮอร์โมนน้ำดำ เดือนละ 1 ครั้งตั้งแต่เริ่มลงหัวถึงเก็บเกี่ยว                 
      หมายเหตุ :               
    - ฮอร์โมนธรรมชาติและฮอร์โมนวิทยาศาสตร์จะให้ประสิทธิภาพเต็มร้อยก็ต่อเมื่อ ต้นมีสภาพ
ความสมบูรณ์สูง
             
ระยะปลูก               
      ระยะปกติ 50 X 75 ซม.               
      ระยะชิด  45 X 50  ซม.               
      หมายเหตุ :                              
    - การปลูกระยะชิดมากเกินไปเมื่อต้นโตขึ้นใบจะตั้งตรงเพราะเบียดกับต้นข้างเคียง การที่ใบไม่
สามารถแผ่กางรับแสงแดดได้เต็มพื้นที่หน้าใบ ทำให้การสังเคราะห์อาหารไม่ดีจึงส่งผลให้ผลผลิตไม่ดี
ด้วย และการปลูกห่างเกินไปนอกจากทำให้เสียเนื้อที่แล้วยังทำให้แสงแดดส่องถึงพื้นจนวัชพืชเจริญ
เติบโตได้อีกด้วย.......การจัดระยะปลูกที่พอดี ไม่ชิดหรือไม่ห่างจนเกินไปจะทำให้ได้ผลผลิต
ปริมาณมากและคุณภาพดี                 

ขยายพันธุ์               
    - เลือกลูกซอที่ผ่านการเก็บใต้หัวแม่อย่างถูกวิธีนาน 1-2 เดือน               
    - เตรียมกระบะหรือปรับเรียบพื้นที่เพื่อใช้แทนกระบะ  ขนาดกว้างยาวตามความเหมาะสม 
อยู่ในร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก ระบายน้ำดีและป้องกันน้ำท่วมได้ รองพื้นด้วยแกลบดำ (เก่าค้างปี)
ปรับเรียบหนา 10-20 ซม. วางลูกซอหรือตะเกียง ระยะห่าง 5-10 ซม. โรยทับด้วยแกลบดำ
อีกชั้นหนา 15-20 ซม. แล้วคลุมทับบนด้วยเศษหญ้าหรือฟางแห้งหนาๆ รดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ 
ประมาณ 20-30 วัน ลูกซอหรือตะเกียงก็จะเริ่มงอกมีใบแทงขึ้นมาเป็นต้นกล้า
    - เมื่อต้นกล้าโตได้ 2-3 ใบ  ให้ถอนแยกไปปลูกในแปลงจริงได้
                 
หมายเหตุ :               
      แช่ลูกซอหรือตะเกียงใน “น้ำ 100 ล.+ ไคตินไคโตซาน 100 ซีซี.+ ธาตุรอง/ธาตุ
เสริม 100 ซีซี.+ จุลินทรีย์หน่อกล้วย 100 ซีซี.”  นาน 12-24 ชม. นำขึ้นผึ่งลมจนแห้ง
ก่อน แล้วจึงนำไปเพาะ นอกจากทำให้ลูกซอหรือตะเกียงได้สะสมอาหารไว้ตั้งแต่ก่อนเกิดซึ่งจะส่งผล
ให้ต้นกล้าสมบูรณ์โตเร็วแล้ว ยังช่วยกำจัดเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนมากับลูกซอหรือตะเกียงอีกด้วย

ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงต่อเผือก      
1.ระยะต้นเล็ก               
      ทางใบ :               
    - ให้น้ำ 100 ล.+ 25-5-25 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร ทุก 5-7 วัน  ฉีดพ่นพอเปียกใบ  ช่วงเช้าแดดจัด              
    - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร  ทุก 2-3 วัน                  
      ทางราก :               
    - ให้ ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7(1-2 กก.)ไร่ ใส่ถังสพายฉีดโคนต้น 
ทุก 15-20 วัน
    - ให้น้ำปกติ  ทุก 3-5 วัน                
      หมายเหตุ :               
    - เริ่มให้เมื่ออายุต้นได้  1 เดือนหลังปลูก  หรือมีใบแตกใหม่ 2-3 ใบ        
    - ไม่ควรใช้ยาฆ่าหญ้าอย่างเด็ดขาดตั้งแต่เริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยว       
    - พรวนดินแล้วพูนโคนทุก 1 เดือน

2.ระยะลงหัว – เก็บเกี่ยว               
        ทางใบ :               
      - ให้น้ำ 100 ล.+ 5-10-40(400 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+
สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 10-15  ฉีดพ่นพอเปียกใบ
      - ให้ฮอร์โมนน้ำดำ 2-4 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดช่วงลงหัว ถึงก่อนเก็บเกี่ยว
      - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร  ทุก 2-3 วัน                
        ทางราก :                                

      - ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง (เน้น...มูลค้างคาวหมัก)+ 5-10-40(1-2 กก.)/ไร่/เดือน  ใส่ถังสพายฉีดโคนต้น  เดือนละ 1 ครั้ง                
      - ให้น้ำปกติ  ทุก 3-5 วัน               
        หมายเหตุ :               
      - เริ่มให้เมื่ออายุต้น  4 เดือนหลังปลูกหรือเริ่มลงหัว         
      - กรณีปุ๋ยทางดินอาจพิจารณาใช้ 8-24-24 + 0-0-60(1:1)แทน 5-10-40
ได้ด้วยอัตราใช้เดียวกัน         
      - การให้ฮอร์โมนน้ำดำ เดือนละ 1 ครั้ง จะได้แม็กเนเซียมบำรุงใบให้เขียวตลอดอายุ
และสังกะสีช่วยสร้างแป้ง        
      - ระหว่างลงหัวควรบำรุงรักษาให้มีใบ 8-11 ใบขนาดใหญ่  ก้านใหญ่ และสูง 1.20-
1.50 ม. จะได้ผลผลิตดีมาก               
      - ก่อนลงมือเก็บเกี่ยวให้ตรวจสอบอายุ (ประจำสายพันธุ์) และสังเกตใบล่างเริ่มเหี่ยว
เหลืองในขณะที่ใบบน 2-3 ใบยังเขียวสดอยู่               
      - ก่อนเก็บเกี่ยวงดน้ำ 10-15 วัน       

ข้อมูลจาก.....เกษตรลุงคิม