วิธีการใช้ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) แบบประหยัดสกัดกั้นข้าวเฝือใบ ปลอดภัยต่อหนอนและแมลง
โดยปรกติปุ๋ยยูเรีย
(46-0-0) ค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่เกษตรกร ทั้งพืชไร่ไม้ผล ข้าว อ้อย มัน ปาล์ม
และยางพารา เพราะใช้แล้วเห็นผลได้ชัดเจน คือใบจะเขียวเข้ม ต้นเจริญเติบโต
สูงใหญ่แตกใบกิ่งก้านเบ่งบานแผ่สาขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเริ่มปลูกลงกล้าใหม่ๆ ปุ๋ยยูเรียจึงเป็นขวัญใจของพี่น้องเกษตรกรชาวนาเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะชาวนาเมื่อข้าวเริ่มได้อายุ 15 – 20 วันก็จะเริ่มหว่านปุ๋ยโดยเฉพาะปุ๋ยยูเรีย
จะได้รับความนิยมมากที่สุด เพื่อให้ข้าวเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
(ภาษาชาวบ้านเรียกว่ากระทุ้งปุ๋ย เพื่อเร่งให้ข้าวโตเร็วๆ เหมือนเป็นการแข่งขันกัน
สร้างความภาคภูมิใจแก่เจ้าของนา)
หลังจากที่ใส่ปุ๋ย
ข้าวจะเจริญเติบโตงอกงามจนใบโค้งงอง้อมลงจนคำนับพับเพียบเจ้าของหาเจ้าของ แลดูเขียวขจีสดใสไปทั่วแปลง
เป็นที่ถูกอกถูกใจเจ้าของนาเป็นอย่างยิ่ง แต่ต้นกล้าในแปลงนากลับไม่ชอบ
เพราะการที่หว่านปุ๋ยตั้งแต่ข้าวยังเล็กอยู่นั้น เปรียบเหมือนเป็นการยัดเยียดให้ข้าวกินปุ๋ยมากเกินไป
ทำให้ต้นอวบอ้วน ใบหนา ใหญ่ โค้งงอ อุ้ยอ้าย ต่างเป็นที่ถูกอกถูกใจของเหล่าหนอน แมลง
ที่มักอาศัยหลบซ่อนตัวเข้ามาทำลายลำต้นและใบข้าวในช่วงที่ข้าวอ่อนแอจากการใส่ปุ๋ยยูเรียนี้เอง
หลังจากใส่ปุ๋ยไปได้สองสามวัน ชาวนาจะต้องเตรียมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ทั้งยาฆ่าแมลง
ยาฆ่าหนอนและเพลี้ยไฟ ไรแดง ต่างๆ สารพัดเท่าที่จัดหามาได้
ความจริงในระยะนี้เกษตรกรชาวนาไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย
เพราะข้าวยังพอมีอาหารกินจากในเมล็ดและพื้นดินในแปลงนาตั้งแต่ทำเทือก
และต้องการดูดกินปุ๋ยมากจริงๆ ในช่วงระยะแตกกอ คือข้าวอายุประมาณ 30 วัน
ดังนั้นถ้าใส่ปุ๋ยในช่วงข้าวอายุ 29 – 30 วัน
ก็จะเป็นการใส่ปุ๋ยในช่วงเวลาที่เหมาะสม
เพราะ หลังจากใส่ปุ๋ยเพียงวันหรือสองวันข้าวก็เริ่มแตกกอให้หน่อออกลูกออกหลานมา ช่วยแบ่งเบากินปุ๋ยกระจายกันไปอย่างสมดุลย์ จะดีกว่าใส่ปุ๋ยตอนข้าวเป็นต้นเดียว (อายุ 15 -20
วัน) ที่ยังเป็นเม็ดเดียวต้นเดียวดูดกินปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงเข้าไปเต็มๆ
นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อะไรมากแล้วยังเป็นการสิ้นเปลืองปุ๋ยและสิ้นเปลืองยาเคมีกำจัดศัตรูพืช
ทั้งทำให้ต้นข้าวอ่อนแอไม่ต้านทานต่อโรค แมลง รา ไรอีกต่างหาก
เทคนิคที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง
ที่จะเปลี่ยนปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) ที่สูญเสียง่ายละลายเร็วให้กลายเป็นปุ๋ยละลายช้า
คล้ายๆกับที่ประเทศญี่ปุ่นเขานำมาจำหน่ายในบ้านเราตกกิโลกรัมละหลายสิบบาท
คิดเป็นกิโลก็หลายร้อยบาท คิดเป็นตันก็สองสามหมื่นบาทหรือมากกว่า
เราสามารถทำให้ปุ๋ยยูเรียกลายเป็นปุ๋ยละลายช้าแบบเมดอินไทยแลนด์ได้ง่ายเพียงนำปุ๋ยยูเรีย
5 ส่วน พรมน้ำพอชุ่มชื้นไม่เปียกแฉะคลุกผสมกับ “ซีโอ-พูมิช”
(หินแร่ภูเขาไฟเกรดพรีเมี่ยม) 1
ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากัน เท่านี้เราก็จะได้สูตรปุ๋ยละลายช้าแบบไทยๆ
ที่ช่วยทำให้ข้าวไม่เฝือใบ ปลอดภัยต่อหนอนและแมลงที่จะเข้ามาทำลายได้เป็นอย่างดี
การทำปุ๋ยหมัก(Composting)
การเติมวัตถุดิบใหม่ระหว่างการหมักปุ๋ยจะทำในช่วงเวลาที่มีการกลับกองปุ๋ย หมักและคลุกเคล้าผสมโดยทั่วไปการเติมวัตถุดิบที่มีความชื้นเข้าไป จะช่วยเร่งกระบวนการย่อยสลาย แต่ถ้าเติมวัตถุดิบที่แห้งไปกระบวนการย่อยสลายจะช้าลง
รูปที่ 2[9]
รูปที่ 3[5]
โดยปรกติปุ๋ยยูเรีย
(46-0-0) ค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่เกษตรกร ทั้งพืชไร่ไม้ผล ข้าว อ้อย มัน ปาล์ม
และยางพารา เพราะใช้แล้วเห็นผลได้ชัดเจน คือใบจะเขียวเข้ม ต้นเจริญเติบโต
สูงใหญ่แตกใบกิ่งก้านเบ่งบานแผ่สาขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเริ่มปลูกลงกล้าใหม่ๆ ปุ๋ยยูเรียจึงเป็นขวัญใจของพี่น้องเกษตรกรชาวนาเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะชาวนาเมื่อข้าวเริ่มได้อายุ 15 – 20 วันก็จะเริ่มหว่านปุ๋ยโดยเฉพาะปุ๋ยยูเรีย
จะได้รับความนิยมมากที่สุด เพื่อให้ข้าวเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
(ภาษาชาวบ้านเรียกว่ากระทุ้งปุ๋ย เพื่อเร่งให้ข้าวโตเร็วๆ เหมือนเป็นการแข่งขันกัน
สร้างความภาคภูมิใจแก่เจ้าของนา)
หลังจากที่ใส่ปุ๋ย
ข้าวจะเจริญเติบโตงอกงามจนใบโค้งงอง้อมลงจนคำนับพับเพียบเจ้าของหาเจ้าของ แลดูเขียวขจีสดใสไปทั่วแปลง
เป็นที่ถูกอกถูกใจเจ้าของนาเป็นอย่างยิ่ง แต่ต้นกล้าในแปลงนากลับไม่ชอบ
เพราะการที่หว่านปุ๋ยตั้งแต่ข้าวยังเล็กอยู่นั้น เปรียบเหมือนเป็นการยัดเยียดให้ข้าวกินปุ๋ยมากเกินไป
ทำให้ต้นอวบอ้วน ใบหนา ใหญ่ โค้งงอ อุ้ยอ้าย ต่างเป็นที่ถูกอกถูกใจของเหล่าหนอน แมลง
ที่มักอาศัยหลบซ่อนตัวเข้ามาทำลายลำต้นและใบข้าวในช่วงที่ข้าวอ่อนแอจากการใส่ปุ๋ยยูเรียนี้เอง
หลังจากใส่ปุ๋ยไปได้สองสามวัน ชาวนาจะต้องเตรียมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ทั้งยาฆ่าแมลง
ยาฆ่าหนอนและเพลี้ยไฟ ไรแดง ต่างๆ สารพัดเท่าที่จัดหามาได้
ความจริงในระยะนี้เกษตรกรชาวนาไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย
เพราะข้าวยังพอมีอาหารกินจากในเมล็ดและพื้นดินในแปลงนาตั้งแต่ทำเทือก
และต้องการดูดกินปุ๋ยมากจริงๆ ในช่วงระยะแตกกอ คือข้าวอายุประมาณ 30 วัน
ดังนั้นถ้าใส่ปุ๋ยในช่วงข้าวอายุ 29 – 30 วัน
ก็จะเป็นการใส่ปุ๋ยในช่วงเวลาที่เหมาะสม
เพราะ หลังจากใส่ปุ๋ยเพียงวันหรือสองวันข้าวก็เริ่มแตกกอให้หน่อออกลูกออกหลานมา ช่วยแบ่งเบากินปุ๋ยกระจายกันไปอย่างสมดุลย์ จะดีกว่าใส่ปุ๋ยตอนข้าวเป็นต้นเดียว (อายุ 15 -20
วัน) ที่ยังเป็นเม็ดเดียวต้นเดียวดูดกินปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงเข้าไปเต็มๆ
นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อะไรมากแล้วยังเป็นการสิ้นเปลืองปุ๋ยและสิ้นเปลืองยาเคมีกำจัดศัตรูพืช
ทั้งทำให้ต้นข้าวอ่อนแอไม่ต้านทานต่อโรค แมลง รา ไรอีกต่างหาก
เทคนิคที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง
ที่จะเปลี่ยนปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) ที่สูญเสียง่ายละลายเร็วให้กลายเป็นปุ๋ยละลายช้า
คล้ายๆกับที่ประเทศญี่ปุ่นเขานำมาจำหน่ายในบ้านเราตกกิโลกรัมละหลายสิบบาท
คิดเป็นกิโลก็หลายร้อยบาท คิดเป็นตันก็สองสามหมื่นบาทหรือมากกว่า
เราสามารถทำให้ปุ๋ยยูเรียกลายเป็นปุ๋ยละลายช้าแบบเมดอินไทยแลนด์ได้ง่ายเพียงนำปุ๋ยยูเรีย
5 ส่วน พรมน้ำพอชุ่มชื้นไม่เปียกแฉะคลุกผสมกับ “ซีโอ-พูมิช”
(หินแร่ภูเขาไฟเกรดพรีเมี่ยม) 1
ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากัน เท่านี้เราก็จะได้สูตรปุ๋ยละลายช้าแบบไทยๆ
ที่ช่วยทำให้ข้าวไม่เฝือใบ ปลอดภัยต่อหนอนและแมลงที่จะเข้ามาทำลายได้เป็นอย่างดี
การทำปุ๋ยหมัก(Composting)
การทำปุ๋ยหมักเป็นการย่อยวัตถุอินทรีย์ให้เป็นฮิวมัส (humus)
ด้วยจุลิทรีย์ จุลินทรีย์หลักๆ ได้แก่ เชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย
วัตถุอินทรีย์ได้แก่ เศษอาหาร เศษหญ้า กระดาษ เป็นต้น
กระบวนการการหมักปุ๋ยสามารถทำได้ 2 แบบ คือ 1. แบบใช้อากาศ และ 2.
แบบไม่ใช้อากศ
การทำปุ๋ยหมักแบบใช้อากาศ(aerobic compost)
จะอาศัยจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนช่วยในการย่อยวัตถุอินทรีย์
โดยจะต้องมีสภาวะที่เหมาะสมต่อการทำงานดังนี้ 1. อากาศมีออกซิเจน 2.
วัตถุอินทรีย์จะต้องมีอัตราส่วนของไนโตรเจน 1 ส่วนต่อคาร์บอน 30-70 ส่วน 3.
จะต้องมีน้ำอยู่ประมาณ 40-60 เปอร์เซ็นต์ 4.
มีออกซิเจนให้จุนลินทรีย์ใช้เพียงพอ ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งใน 4
สิ่งนี้การทำปุ๋ยหมักแบบใช้อากาศไม่เกิดขึ้น
ผลผลิตที่ได้จากการทำปุ๋ยหมักแบบใช้อากาศ คือ ไอน้ำคาร์บอนไดออกไซต์
และวัตถุอินทรีย์ที่ย่อยสลายแล้วที่เรียกว่า ฮิวมัส(humus)
การทำปุ๋ยหมักแบบไม่ใช้อากาศ(anaerobic compost)
จะอาศัยจุลทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจนย่อยวัตถุ
จุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจนสามารถอยู่ได้โดยไม่มีออกซิเจน
และสามารถย่อยวัตถุอินทรีย์ที่มีอัตราส่วนไนโตรเจนสูงกว่า
และอัตราส่วนคาร์บอนต่ำกว่าการทำปุ๋ยหมักแบบใช้การใช้อากาศและการย่อยสามารถ
เกิดขึ้นได้ที่ความชื้นสูงกว่า ผลผลิตของการย่อยสลายวัตถุอินทรีย์คือ
แกสมีเทน (methane gas) และวัตถุอินทรีย์ที่ย่อยสลานแล้ว
ถ้าต้องการนำแกสีมเทนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงการทำปุ๋ยหมักต้องเป็นระบบปิดที่มี
ความดีน
การใช้ปุ๋ยหมัก (ฮิวมัส) กับดินจะช่วยปรับปรุงโครงสร้างดินและเนื้อดิน
ช่วยเพื่มโพรงอากาศ ช่วยระบายน้ำและอากาศดีขึ้น
และเพิ่มการอุ้มน้ำของดิน ลดการอัดตัวของดิน
ช่วยให้ต้นไม้ต้านทานความแล้งดีขึ้น
และเป็นอาหารให้จุลินทรีย์ที่ช่วยรักษาสภาพดินให้สมบรูณ์และสมดุล
และธาตุไนโตรเจน โพแทสเซียม
และฟอสฟอรัสยังผลิตขึ้นตามธรรมชาติด้วยการเลี้ยงจุลินทรีย์เหล่านี้
การทำปุ๋ยหมักแบบใช้อากาศ(Aerrobic Compost)
การทำปุ๋ยหมักเป็นการเลียนแบบระบบย่อยสลายที่เกิดขึ้นช้า ๆ
ตามธรรมชาติในผืนป่าซึ่งมีอินทรีย์สารแตกต่างกันหลายร้อยชนิดรวมทั้ง
จุลินทรีย์ รา หนอน และแมลง
แต่เราสามารถเร่งการย่อยสลายนี้ให้เร็วขึ้นได้ด้วยการควบคุมสภาวะแวดล้อมให้
เหมาะสมที่สุด ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการทำปุ๋ยหมักคือ อุณหภูมิ ความชื้น
อากาศ และวัตถุอินทรีย์ วัตถุอินทรีย์เกือบทั้งหมดใช้ทำปุ๋ยหมักได้
ส่วนผสมของวัตถุอินทรีย์ที่ดีสำหรับการทำปุ๋ยหมักจะต้องประกอบด้วยอัตราส่วน
ผสมที่ถูกต้อระหว่างวัตถุอินทรีย์ที่มีคาร์บอนมาก(carbon-rich materrials)
หรือเรียกว่า วัตถุสีน้ำตามได้แก่ (browns)
และวัตถุอินทรีย์ที่มีไนโตรเจนมาก (notrogan-rich materials) ที่เรียกว่า
วัตถุสีเขียว (greens) วัตถุสีน้ำตาลได้แก่ ใบไม้แห้ง ฟางข้าว เศษไม้
เป็นต้น ส่วนวัตถุสีเขียวได้แก่ เศษหญ้า เศษพืชผักจากครัว เป็นต้น
อัตราส่วนผสมที่ดีจะทำให้การทำปุ๋ยหมักดสร็จเร็วและไม่มีกลิ่นเหม็น
ถ้ามีส่วนของคาร์บอนมากเกินไปจะทให้ย่อยสลายช้ามาก
และถ้ามีไนโตรเจนมากปะทำให้เกิดกลิ่นเหม็น
คาร์บอนจะเป็นตัวให้พลังงานแก่จุลินทรีย์
ส่วนไนโตรเจนจะช่วยสังเคราะห์โปรตีน
การผสมวัตถุอินทรีย์ที่แตกต่างกันหรือใช้อัตราส่วนผสมที่แตกต่างกันจะทำให้
อัตราย่อยสลายแตกต่างกันไปด้วย
ตารางวัตถุอินทรีย์ที่สามารถใช้ทำปุ๋ยหมัก
ชนิด | ประเภทคาร์บอน (C)/ไนโตรเจน(N) | รายละเอียด |
สาหร่ายทะเลมอสทะเลสาบ | N | แหล่งสารอาหารที่ดี |
เครื่องดื่ม น้ำล้างในครัว | เป็นกลาง | ใช้ให้ความชื้นแก่กองปุ๋ย |
กระดาษแข็ง | C | ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนใช้ ถ้ามีมากควรนำไปรีไซเคิล |
กาแฟบดและที่กรอง | N | หนอนชอบ |
ต้นข้าวโพด ซังข้าวโพด | C | ตัดเป็นช้นเล็กๆ |
ผ้าสำลี | C | ทำให้ชื้น |
เปลือกไข่ | N | บดให้ละเอียด |
เส้นผม | N | กระจายอย่าให้จับตัวเป็นก้อน |
มูลสัตว์กินพืช | N | เป็นแห่งไนโตรเจน |
หนังสือพิมพ์ | C | อย่าใช้กระดาษมันหน้าสี ถ้ามีกมากให้นำไปรีไซเคิล |
ใบโอ๊ก | C | ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ เป็นกรด |
ขี้เลื่อย เศษไม้ (ที่ไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี) | C | อย่าใช้มาก |
ใบสนและผลของต้นสน | C | อย่าใช้มาก ย่อยสลายช้า เป็นกรด |
ตารางวัตถุอินทรีย์ที่ต้องใช้อย่างระวัง
ชนิดของวัตถุ | ประเภทคาร์บอน (C)/ไนโตรเจน(N) | รายละเอียด |
ขี้เถ้าจากไม้ | เป็นกลาง | ใช้ในปริมาณที่พอเหมาเท่านั้น |
ขี้นก | N | มีเมล็ดวัชพืชและเชื้อโรค |
ต้นไม้ที่เป็นโรคตาย | N | อย่าใช้ปุ๋ยหมักใกล้กับต้นไม้ชนิดเดียวกับที่เป็นโรคตาย |
นม ชีส โยเกิร์ต | เป็นกลาง | จะดึงดูดสัตว์เข้ามาในกองปุ๋ยหมัก |
วัชพืช | N | ทำให้แห้งก่อนใช้ |
หญ้า | N | ต้องแน่ใจว่ากองปุ๋ยหมักร้อนพอที่จะหยุดการเจริญเติบโตของหญ้า |
ตารางวัตถุอินทรีย์ที่ห้ามใช้
ชนิดของวัตถุ | ประเภทคาร์บอน (C)/ไนโตรเจน(N) | รายละเอียด |
ขี้เถ้าจากถ่านหินหรือถ่านโค้ก | - | อาจมีวัสดุที่ไม่ดีต่อพืช |
ขี้หมา ขี้แมว | - | อาจมีเชื้อโรค |
เศษปลา | - | ดึงดูดพวกหนู ทำให้กองปุ๋ยหมักมีกลิ่นเหม็น |
มะนาว | - | สามารถหยุดกระบวนการหมักปุ๋ย |
เนื้อ ไขมัน จารบี น้ำมัน กระดูก | - | หลีกเลี่ยง |
กระดาษมันจากวารสาร | - | หลีกเลี่ย |
ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการทำปุ๋ยหมัก
การทำปุ๋ยหมักให้ได้คุณภาพที่ดีขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. อุณหภูมิ : อุณหภูมิ
ในกองปุ๋ยหมักมีผลโดยตรงกับกิจกรรมย่อยสลายทางชีวภาพของจุลทรีย์
ยิ่งอัตราการเผาผลาญอาหาร (metabolic rate) ของจุลินทรีย์มากขึ้น
(เจริญเติบโตมากขึ้น)
อุณหภูมิภายในระบบหมักปุ๋ยก็จะสูงขึ้นในทางกลับกันถ้าอัตราการเผาผลาญอาหาร
ลดลง อุณหภูมิของระบบก็ลดลง
จุลินทรีย์ที่ย่อยสลายวัตถุอินทรีย์และก่อให้เกิดความร้อนในกองปุ๋ยหมักมี 2
ประเภท คือ 1. แบคมีเรียชนิดเมโซฟิลิก (mesophilic bacteria)
ซึ่งจะมีชีวิตเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้ที่อุณหภูมิระหว่าง และ 2. แบคทีเรียชนิดเทอร์โมฟิลิก(thermophilic bacteria) ซึ่งเจริญเติบโตดีที่อุณหภูมิระหว่าง การรักษาอุณหภูมิของระบบไว้เกินกว่า เป็นเวลา 3-4 วัน จะช่วยทำลายเมล็ดวัชพืช ตัวอ่อนแมลงวัน และโรคพืชได้ ถ้าอุณหภูมิของระบบสูงถึง การย่อยสลายจะเร็วขึ้นเป็นสองเท่าของที่อุณหภูมิ ถ้าอุณหภูมิเกิน ประชากร
ของจุลินทรีย์จะทำลายบางส่วน ทำให้อุณหภูมิของระบบลดลง
อุณหภูมิของระบบจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อประชากรของจุลินทรีย์เพอ่มขึ้น
ปริมาณความชื้น ออกซิเจนที่มีอยู่
และกิจกรรมของจุลินทรีย์มีอิทธิพลของจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้น
เมื่อมีการปฏิบัติที่ถูกต้อง
อุณหภูมิของกองปุ๋ยหมักจะเพิ่มขึ้นและควรปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ
จนกระทั่งอุณหภูมิถึงจุดสูงสุดและเริ่มลดลง
จึงควรกลับกองปุ๋ยหมักเพื่อให้ออกซิเจนสามารถเข้าถึงทั่วกองปุ๋ยหมัก
อุณหภูมิของกองปุ๋ยหมักจะกลับสูงขึ้นอีกครั้ง
ทำเช่นนี้จนกว่าอุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงแสดงว่าการทำปุ๋ยหมักเสร็จสิ้นสมบรู
ณ์ ขนาดของกองปุ๋ยหมักก็มีผลต่อุณหภูมิสูงสุดท่ะทำได้
โดยทั่วไปสำหรับกองปุ๋ยหมักที่เปิดโล่งควรมีขนาดของกองปุ๋ยหมักไม่น้อยกว่า 3
ฟุต x 3 ฟุต x 3 ฟุต
2. การเติมอากาศ (aeration) :
ออกซิเจนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับจุลินทรีย์เพื่อใช้ในการย่อยสลายวัตถุ
อินทรีย์
การย่อยสลายของอินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจนจะเป็นกระบวนการย่อยสลายที่ช้าแล
พทำให้เกิดกลิ่นเหม็น
ดังนั้นจึงควรกลับกองปุ๋ยหมักเป็นระยะเพื่อให้จุลินทรีย์ได้รับออกซิเจน
อย่างเพียงพอ ซึ่งจะช่วยเร่งกระบวนการหมักปุ๋ยให้เร็วขึ้น
กองปุ๋ยหมักที่ไม่ได้กลับ จะใช้เวลาย่อยสลสายนานกว่า 3-4 เท่า
การกลับกองปุ๋ยหมักจะทำให้อุณหภูมิสูงมากกว่า
ซึ่งจะช่วยทำลายเมล็ดวัชพืชและโรคพืชได้
กองปุ๋ยหมักเมื่อเริ่มต้นควรมีช่องว่างอากาศประมาณ 30-35 เปอร์เซ็นต์
เพื่อให้สภาวะหารหมักที่ดีที่สุดเกิดขึ้น
และควรรักษาระดับออกซิเจนให้เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ทั่งทั้งกองปุ๋ยหมัก
โดยทั่วไปรับออกซิเจนในกองปุ๋ยหมักจะอยู่ในช่วง 6-16 เปอร์เซ็นต์และ 20
เปอร์เซ็นต์ รอบผิวกองปุ๋ยหมัก ถ้าระดับออกซิเจนต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์
การย่อยสลายจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไม่ใช้ออกซิเจน
ซึ่งจะก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นตามมา ดังนั้นออกซิเจนยิ่งมาก
การย่อสลายยิ่งเกิดมาก
3. ความชื้น (moisture) : ความ
ชื้นที่เพียงพอมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์
กองปุ๋ยหมักควรมีความชื้นที่เหมาะสมที 45 เปอร์เซ็นต์
ถ้ากองปุ๋ยหมักแห้งเกินไปการย่อยสลายจะไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากจุลินทรีย์
ไม่สามารถขยายพันธุ์ได้
ถ้ากองปุ๋ยหมักมีน้ำมากเกินไปการย่อยสลายการใช้อากาศอยู่ระหว่าง 40-70
เปอร์เซ็นต์ การทดสอบความชื้นที่เหมาะสมในกองปุ๋ย
สามารถทำได้โดยใช้มือกำวัตถุอินทรีย์ในกองปุ๋ยแล้วบีบ จะมีหยดน้ำเพีย 1-2
หยดเท่านั้น หรือมีความรู้สึกชื้นเหมือนฟองน้ำที่บีบน้ำออกแล้ว
4. ขนาดวัตถุอินทรีย์ (particle size) : ขนาด
วัตถุอินทรีย์ยิ่งเล็กจะทำให้กระบวนการย่อยสลายยิ่งเร็วขึ้น
เนื่องจากพื้นที่ให้จุลินทรีย์เข้าย่อยสลายมากขึ้น
บางครั้งวัตถุดิบมีความหนาแน่นมากหรือมีความชื้นมากเช่นเศษหญ้าที่ตัดจาก
สนาม ทำให้อากาศไม่สามารถผ่านเข้าไปในกองปุ๋ยหมักได้
จึงควรผสมด้วยวัตถุที่เบาแต่มีปริมาณมากเช่น ฟางข้าว ใบไม้แห้ง กระดาษ
เพื่อให้อากาศไหลหมุนเวียนได้ถูกต้อง
หรือจะผสมวัตถุที่มีขนาดต่างกันและมีเนื้อต่างกันก็ได้
ขนาดของวัตถุอินทรีย์ที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 2 นิ้ว
แต่บางครั้งขนาดวัตถุอินทรีย์ที่ใหญ่กว่านี้ก็จำเป็นต้องใช้บ้างเพื่อช่วย
ให้การระบายอากาศดีขึ้น
5. การกลับกอง (turning) : ใน
ระหว่างกระบวนการหมักปุ๋ย
จุลินทรีย์จะใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญวัตถุอินทรีย์
ขณะที่ออกวิเจนถูกใช้หมดกระบวนการหมักปุ๋ยจะช้างลงและอุณหภูมิในกองปุ๋ยหมัก
ลดลง จึงควรกลับกองปุ๋ยหมักเพื่อให้อากาศหมุนเวียนในกองปุ๋ยหมัก
เป็นการเพิ่มออกซิเจนให้กลับจุลิทรีย์
และเป็นการกลับวัสดุที่อยู่ด้านนอกเข้าข้างใน
ซึ่งช่วยในการย่อยสลายเร็วขึ้น ระยะเวลาในการกลับกอง
สังเกตได้จากเมื่ออุณหภูมิในกองปุ๋ยหมักขึ้นสูงสุดและเริ่มลดลงแสดงว่าได้
เวลาในการกลับกองเพื่อให้อากาศถ่ายเท
6. อัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจน (carbon to nitrogen ratio) : จุลินทรีย์
ใช้คาร์บอนสำหรับพลังงานและไปนโตรเจนสำหรับการสังเคราะห์โปรตีน
จุลินทรีย์ต้องการใช้คาร์บอน 30 ส่วนต่อไนโตรเจน 1 ส่วน
(C:N=30:1โดยน้ำหมักแห้ง) ในการย่อยสลายวัตถุอินทรีย์
อัตราส่วนนี้จะช่วยในการควบคุมความเร็วในการย่อยจุลินทรีย์
ถ้ากองปุ๋ยหมักมีส่วนผสมที่มีคาร์บอนต่อไนโตรเจนสูงมาก (มีคาร์บอนมาก)
การย่อยสลายจะช้า ถ้ากองปุ๋ยหมักมีส่วนผสมที่มีคาร์บอนต่อไนโตรเจนต่ำมาก
(ไนโตรเจนสูง)
จะเกิดการสูญเสียไนโตรเจนในรูปแบบของแอมโมเนียสู่บรรยากาศและจะเกิดกลิ่น
เหม็น วัตถุอินทรีย์ส่วนมากไม่ได้มีอัตราส่วน C:N = 30:1
จึงต้องทำการผสมวัตถุอินทรีย์เพื่อให้ได้อัตราส่วนที่ถูกต้องคือใกล้เคียง
เช่น การผสมมูลวัวที่มี C:N = 20:1 จำนวน 2 ถุง เข้ากับลำต้นข้าวโพดที่มี
C:N =60:1 จำนวน 1 ถุง จะได้กองปุ๋ยหมักที่มี C:N
=(20:1+10:1+60:1)/3=33:1 ตารางข้างล่างแสดงค่า C:N ของวัตถุอินทรีย์ต่างๆ
ปุ๋ยที่หมักเสร็จแล้วจะต้องมีค่า C:N ไม่เกิน 20:1
เพื่อป้องกันการดึงไนโตรเจนจากดินเมื่อนำปุ๋ยหมักไปใช้งาน
ตารางแสดงค่าอัตราส่วน C:N ของวัตถุอินทรีย์ทั่วไป
วัตถุอินทรีย์ | อัตราส่วน C:N |
เศษผัก | 12-20:1 |
เศษอาหาร | 18:1 |
พืชตะกูลถั่ว | 13:1 |
มูลวัว | 20:1 |
กากแอปเปิ้ล | 21:1 |
ใบไม้ | 40-80:1 |
ฟางข้าวโพด | 60:1 |
ฟางข้าวสาลี | 74:1 |
กระดาษ | 80:1 |
ขี้เลื่อย | 150-200:1 |
เศษหญ้า | 100-150:1 |
กาแฟบด | 12-25:1 |
เปลือกไม้ | 20:1 |
ขยะผลไม้ | 100-130:1 |
มูลสัตว์ปีกสด | 10:1 |
มูลม้า | 25:1 |
หนังสือพิมพ์ | 50-200:1 |
ใบสน | 60-110:1 |
มูลที่เน่าเปื่อย | 20:1 |
วิธีทำปุ๋ยหมัก (Composting Method)
การทำปุ๋ยหมักสามารถทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้
1. การทำปุ๋ยหมักแบบร้อน(hot composting)
เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการผลิตฮิวมัสที่มีคุณภาพโดยใช้เวลา
น้อยกว่าวิธีอื่นๆ นอกจากนี้ยังช่วยทำหลายเมล็ดวัชพืช
ตัวอ่อนแมลงวันและโรคพืช การทำปุ๋ยหมักแบบใช้ถัง (bin) หรือแบบกองบนลาน
(windrow) จะต้องอาศัยการจัดการในระดับสูง ส่วนแบบ in-vessel
จะใช้การจัดการน้อยกว่า
2. การทำปุ๋ยหมักแบบเย็น (cold composting)
เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับการเพิ่มอินทรีย์วัตถุที่โคนต้นไม้ แปลงสวนเล็กๆ
และพื้นที่ที่มีการกัดกร่อน
เวลาในการทำปุ๋ยหมักถูกควบคุมด้วยสภาวะสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจจะใช้เวลา 2
ปีหรือมากกว่า
3. การทำปุ๋ยหมักแบบผืนแผ่น (sheet composting)
เป็นการนำอินทรีย์วัตถุมาโปรยกระจายตามผิวหน้าดินที่ราบเรียบและปล่อยให้
ย่อยสลายเองตามธรรมชาติ
เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่ได้ย่อยสลายจะซึมผ่านลงในดิน
วิธีนี้เหมาะสมสำหรับผืนดินที่ใช้เป็นแหล่งอาหารสัตว์
ภูมิประเทศข้างทางหรือใช้ควบคุมการกัดกร่อน
วิธีนี้ไม่สามารถกำจัดเมล็ดวัชพืช ตัวอ่อนแมลงวัน และโรคพืช
ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ซากพืชและมูลสัตว์
ระยะเวลาการย่อยสลายถูกควบคุมด้วยสภาวะสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจจะใช้เวลานาน
4. การทำปุ๋ยหมักแบสนามเพาะ (trench composting)
เป็นวิธีที่ค่อนข้างง่ายเพียงแต่ขุดหลุมลึก 6-8 นิ้ว
แล้วใส่วัตถุอินทรีย์ลงไปให้หนา 3-4 นิ้ว แล้วกลบด้วยดิน รอประมาณ 2-3
อาทิตย์
ก็สามารถปลูกต้นไม้ตรงหลุมได้เลยวิธีนี้ไม่สามารถทำลายเม็ลดวัชพืช
ตัวอ่อนแมลงวัน และโรคพืชได้ กระบวนการย่อยสลายค่อนข้างช้า
ขันตอนการทำปุ๋ยหมัก
การทำปุ๋ยหมักแบบใช้ถัง (bin) และแบบกองบนลาน(windrow)
จะวางวัตถุดิบเป็นชั้นๆ
โดนใช้หลักการสมดุลระหว่างวัตถุที่มีคาร์บอนสูง(ชื้น)
และคาร์บอนต่ำ(แห้ง)และมีขั้นตอนการทำดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ใส่วัตถุหยาบลงที่ก้นถังหรือบนพื้นดินให้หนา 4-6 นิ้ว
ขั้นตอนที่ 2 เติมวัตถุที่มีคาร์บอนต่ำลงให้หนา 3-4 นิ้ว
ขั้นตอนที่ 3 เติมวัตถุที่มีคาร์บอนสูงให้หนา 4-6 นิ้ว
ขั้นตอนที่ 4 เติมดินทำสวนหรือฮิวมัสหนา 1 นิ้ว
ขั้นตอนที่ 5 ผสมให้เข้ากัน
ขั้นตอนที่ 6 ทำซ้ำขั้นตอนที่ 2-5 จนเต็มถังหรือสูงไม่เกิน 4 ฟุต แล้วปกคลุมด้วยวัตถุแห้ง
การเติมวัตถุดิบระหว่างการหมักปุ๋ย
การเติมวัตถุดิบใหม่ระหว่างการหมักปุ๋ยจะทำในช่วงเวลาที่มีการกลับกองปุ๋ย หมักและคลุกเคล้าผสมโดยทั่วไปการเติมวัตถุดิบที่มีความชื้นเข้าไป จะช่วยเร่งกระบวนการย่อยสลาย แต่ถ้าเติมวัตถุดิบที่แห้งไปกระบวนการย่อยสลายจะช้าลง
การทำถังหมักปุ๋ยสวนหลังบ้าน
การทำถังหมักปุ๋ยสำหรับสวนหลังบ้านสามารถทำได้หลายวิธีโดยแบ่งตามขนาดที่
ต้องการใช้ปุ๋ยหมัก วิธีแรกเหมาะสำหรับสวนขนาดเล็กโดยนำถังขนาด 200 ลิตร
มาเจาะรูด้านข้างถังขนาด 0.5 นิ้ว 6-9 แถวดังรูปที่ 1
แล้ววางถังบนอิฐบล็อกเพื่อให้อากาศหมุนเวียนก้นถัง
เติมวัตถุอินทรีย์ลงไปประมาณ 3 ส่วน 4 ของถังแล้วเติมปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง
(ประมาณ 30%N)1/4
ถ้วยลงไปพร้อมเติมน้ำให้มีความชื้นพอเหมาะแต่ไม่ถึงกับเปียกโชก ทุกๆ 2-3
วัน ให้กลิ้งถังกับพื้นรอบสวนเพื่อให้มีการผสมและระบายอากาศภายในถัง
เมื่อกลิ้งถังเสร็จแล้วสามารถเปิดฝาถังเพื่อให้อากาศซึมผ่านเข้าถัง
การทำวิธีนี้จะใช้เวลาในการย่อยสลาย 2-4 เดือน
รูปที่ 1[5]
วิธีที่สองใช้ถังกลมแบบหมุนได้ ตามรูปที่ 2
การหมักทำโดยการเติมวัตถุสีเขียว และสีน้ำตาลเข้าถังประมาณ ¾ ส่วนของถัง
ผสมให้เข้ากันและทำให้ชื้นพอเหมาะ
หมุนถังหนึ่งครั้งทุกวันเพื่อให้อากศหมุนเวียนและคลุกเคล้าส่วนผสมให้ทั่ว
วิธีนี้สามารถหมักปุ๋ยได้เสร็จภายใน 3 สัปดาห์
ไม่ควีเติมวัสดุจนเต็มถังเพราะจะไม่สามารถคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันได้และ
การระบายอากาศไม่ดี การหมักแบบนี้ทำได้ทีละครั้ง (batch size)
รูปที่ 2[9]
สำหรับสวนที่มีขนาดใหญ่
การสร้างถังหมักปุ๋ยอย่างง่ายสามารถทำได้โดยการใช้ลวดตาข่ายเล็ก ๆ
มาล้อมเป็นวงกลมมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 ฟุต และสูงอย่างน้อย 4
ฟุต พร้อมกับมีที่เกี่ยวติกกันดังรูปที่ 3
ควรจะมีเสาปักตรงกลางถังก่อนใส่วตถุอินทรีย์เพื่อรักษารูปร่างของกองปุ๋ย
หมักและช่วยอำนวยความสะดวกในการเติมน้ำ
การกลับกองปุ๋ยหมักสามารถทำได้ง่ายดายโดยการแกะลวดตาข่ายออกแล้วย้ายไปตั้ง
ที่ใหม่ข้างๆ จากนั้นตักกองปุ๋ยหมักใส่กลับเข้าไป
รูปที่ 3[5]
อีกวิธีที่มีประสิทธิภาพในการทำปุ๋ยหมักอย่างเร็วและมีโครงสร้างที่ทนทานคือ
การสร้างถังสี่เหลี่ยมแบบ 3 ช่อง (three-chambered bin) ดังรูปที่ 4
ซึ่งสามารถทำปุ๋ยหมักได้มากและมีการหมุนเวียนอากาศที่ดี
โดยแต่ละช่องจะทำการย่อยสลายวัสดุในช่วงเวลาที่ต่างกัน
การทำปุ๋ยหมักเริ่มจากการใส่วัตถุดิบลงไปในช่องแรกและปล่อยให้ย่อยสลาย
(อุณหภูมิสูงขึ้น)เป็นเวลา 3-5 วัน
จากนั้นตักไปใส่ในช่องที่สองและปล่อยทิ้งไว้ 4-7 วัน
(ในส่วนช่องแรกก็เริ่มใส่วัตถุดิบลงไปใหม่)
แล้วตักใส่ในช่องที่สามต่อไปซึ่งการหมักปุ๋ยใกล้จะเสร็จสมบรูณ์
การทำวิธีนี้สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง
รูปที่ 4[5]
การหาทำเลสำหรับการตั้งปุ๋ยหมัก
ไม่ควรจะตั้งใกล้บ่อน้ำหรือที่ลาดชันไปสู่แหล่งน้ำบนดินเช่น
ธารน้ำหรือสระน้ำควรตั้งในที่ไม่มีลมและโดนแสงแดดบางส่วนเพื่อช่วยให้ความ
ร้อนแก่กองปุ๋ยหมัก
การตั้งถังหมักปุ๋ยใกล้ต้นไม้อาจทำให้รากต้นไม้ชอนไชเข้าถังได้
ทำให้ลำบากในการตักได้ ปริมาตรของปุ๋ยหมักที่เสร็จแล้วจะลดลงเหลือ 30-40
เปอร์เซ็นต์ปริมาตรเริ่มต้น
ปัญหาที่เกิดระหว่างการทำปุ๋ยหมัก
ปัญหาที่สามารถกเกิดขึ้นได้ระหว่างกระบวนการหมักปุ๋ยได้แก่
การเกิดกลิ่นเหม็น แมลงวันและสัตว์รบกวน กองปุ๋ยไม่ร้อน
ปัญหาเหล่านี้เกิดจากหลายสาเหตุและมีวิธีแก้ไขดังนี้
กลิ่นเหม็นเกิดจากการหมักแบบใช้อากาศเปลี่ยนเป้นการหมักแบบไม่ใช้อากาศ
เนื่องจากขาดออกซิเจนในกองปุ๋ยซึ่งมีสาเหตุจากกองปุ๋ยมีความชื้นมากเกนไปและ
อัดตัวกันแน่น ทำให้อากาศไม่สามารถผ่านเข้าไปได้
การแก้ไขทำได้โดยการกลับกองปุ๋ยเพื่อเติมอากาศและเติมวัตถุสีน้ำตาลประเภท
ฟางข้าว กิ่งไม้แห้ง
เพื่อลดความแน่นของกองปุ๋ยและให้อากาศผ่านเข้าไปในกองปุ๋ยได้
แมลงวันและสัตว์ เช่น หนู รบกวน มีสาเหตุมาจากการใส่เศษอาหารลงในกองปุ๋ย
ซึ่งเศษอาหารเหล่านี้ล่อแมลงวันและหนูให้เข้ามา
วิธีแก้ปัญหาคือให้ฝังเศษอาหารลงในกองปุ๋ยและกลบด้วยดินหรือใบไม้แห้ง
หรือทำระบบปิดป้องกันแมลงวันและหนู
กองปุ๋ยไม่ร้อน มีสาเหตุได้แก่ 1. มีไนโตรเจนไม่เพียงพอ 2
มีออกซิเจนไม่เพียงพอ 3. ความชื้นไม่เพียงพอ และ 4.
การหมักเสร็จสมบรูณ์แล้ว
สาเหตุแรกแก้ไขได้โดยการเติมวัตถุสีเขียวซึ่งมีไนโตรเจนสูง เช่น เศษหญ้าสด
เศษอาหาร สาเหตุที่สองแก้ไขโดยกลับกองปุ๋ยเพื่อเติมอากาศ
ส่วนสาเหตุที่สามให้กลับกองและเติมนในกองปุ๋ยชื้น
มาตรฐานปุ๋ยหมักหรืออินทรีย์ในประเทศไทย
ปุ๋ยหมักที่ได้จากการหมักอินทรีย์วัตถุมีปริมาณธาตุอาหารหลักไม่สมบรูณ์ครบ
ถ้วนที่จะเป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ประโยชน์ของปุ๋ยหมักในด้านอื่นมีมากมายเช่น
ปุ๋ยหมักที่อยู่ในรูปของฮิวมัสช่วยปรับปรุงสภาพของดินให้ดีขึ้น
ช่วยอุ้มน้ำได้มากช่วยป้องกันความแห้งแล้ง
ป้องกันการสึกกร่อนของหน้าดิน ช่วยกัดเก็บธาตุต่างๆ ในดิน เช่น
โพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก และทองแดง
ช่วยทำให้สารพิษในดินเป็นกลาง ช่วยให้ต้นไม้ดูดซึมวิตามินและออกซิเจนดีขึ้น
ปุ๋ยที่หมักเสร็จแล้วจะต้องมีค่าของธาตุต่างๆ
เป็นไปได้ตามมาตรฐานของปุ๋ยหมัก
ถ้าปุ๋ยหมักไม่ได้มาตรฐานนี้อาจจะเป็นพิษต่อต้นไม้และสิ่งแวดล้อมได้
สำหรับมาตรฐานของปุ๋ยหมักในประเทศเป็นไปตามประกาศของกรมวิชาการเกษตร เรื่อง
มาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ พ.ศ. 2548 ดังนี้
ลำดับที่ | คุณลักษณะ | เกณฑ์กำหนด |
1 | ขนาดของปุ๋ย | ไม่เกิน 12.5x12.5 มิลลิเมตร |
2 | ปริมาณความชื้นและสิ่งที่ระเหยได้ | ไม่เกิน 35 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำหนัก |
3 | ปริมาณหินและกรวด | ขนาดใหญ่กว่า 5 มิลลิเมตร ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำหนัก |
4 | พลาสติก แก้ว วัสดุมีคม และโลหะอื่นๆ | ต้องไม่มี |
5 | ปริมาณอินทรีย์วัตถุ | ไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำหนัก |
6 | ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) | 5.5-8.5 |
7 | อัตราค่าคาร์บอนต่อไนโตรเจน(C/N) | ไม่เกิน 20:1 |
8 | ค่าการนำไฟฟ้า (EC:Electrical Conductivity) | ไม่เกิน 6 เดซิซีเมน/เมตร |
9 | ปริมาณธาตุอาหารหลัก | -ไนโตรเจน(total N) ไม่น้อยกว่า 1.0 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำหนัก-ฟอสฟอรัส() ไม่น้อยกว่า 0.5 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำหนัก -โพแทสเซียม () ไม่น้อยกว่า 0.5 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำหนัก |
10 | การย่อยสลายที่สมบรูณ์ | มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ |
11 | สารหนู(Arsenic)แคดเมียม(Cadmium) โครเมียม(Chromium) ทองแดง(Copper) ตะกั่ว(Lead) ปรอท(Mercury) | ไม่เกิน 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ไม่เกิน 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ไม่เกิน 300 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ไม่เกิน 500 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ไม่เกิน 500 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม |