การเลี้ยงผำ



''การเลี้ยงผำ'' (ชื่ออีสานไข่ผำ)
“ผำ” มีชื่อสามัญคือ Wolffia, Water meal เป็นพืชน้ำ และพืชดอกขนาดเล็กที่สุดในโลก รูปร่างทรงรี มีขนาดตั้งแต่ 1-2 มิลลิเมตร อาจเกิดเดี่ยว หรือ ติดเป็นคู่ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเป็นเม็ดเล็ก ๆ ลอยเป็นแพอยู่บริเวณผิวน้ำ ไม่มีราก โดยใบ และลำต้นรวมกันลักษณะคล้ายเฟิร์น พบได้ในแหล่งน้ำธรรมชาติที่ใส นิ่ง ปัจจุบันมีการเลี้ยงในบ่อที่มีน้ำใส สะอาด โดยสปีชีส์ที่ศึกษานี้คือ Wolffia arrhiza (L.) วงศ์ Lemnaceae วงศ์ Lemnaceae จากแหล่งเพาะเลี้ยงในอำเภอสันทราย จ.เชียงใหม่ บ้านอะลาง

“ผำ” เป็นอาหารพื้นถิ่นในแถบประเทศพม่า ลาว ภาคเหนือ และภาคอีสานของไทย ชื่อเรียกจะต่างกันบ้างในภาษาท้องถิ่น เช่น ภาคเหนือ จะเรียก ผำ, ไข่ผำ หรือ ไข่แหน ภาคกลาง เรียก ไข่น้ำ ส่วนเมนูอาหารนิยมทำ “คั่วผำ” โดยนำผำสดล้างสะอาดมาปรุงด้วยตะไคร้ พริก กระเทียม หอม ใบมะกรูด ได้รสอร่อย

เพื่อความสะดวก ล่าสุด มีการพัฒนา “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากผำ” เป็นผลงานศึกษาของ นายพิพัฒน์พงษ์ วงศ์ใหญ่ นางสาวศศิธร ชาววัลจันทึก และ ผศ.ดร.สุนีย์ จันทร์สกาว คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่ง นางสาวศศิธร กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทโปรตีน ได้รับความสนใจในฐานะผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ จึงมีความสนใจแสวงหาแหล่งโปรตีนจากพืชพื้นบ้านไทย พบว่า มีพืชน้ำที่ชาวบ้านนำมารับประทานเป็นอาหารอยู่แล้วคือ “ผำ” ซึ่งมีสารอาหารประเภทโปรตีน และกรดอะมิโนจำเป็นปริมาณสูง จึงนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบ “ยาเม็ดเคี้ยว” เพื่อให้สะดวก รับประทานง่าย เหมาะสำหรับผู้ใช้ชีวิตเร่งรีบ โดยเฉพาะนักศึกษา และวัยทำงาน ที่มีเวลาน้อย อีกทั้ง เป็นการเพิ่มทางเลือกดูแลสุขภาพ ด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในราคาเหมาะสม

เมื่อนำผำมาวิเคราะห์ปริมาณสารอาหาร พบว่า มีโปรตีน 20% นอกจากนี้ ยังมีคลอโรฟิลล์ โครงสร้างมีลักษณะเป็น Cyclic Tetrapyrolle คล้ายคลึงกับฮีม (Heme) ที่อยู่ในฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเลือด มีรายงานการวิจัยถึงฤทธิ์ เช่น ต้านอนุมูลอิสระ รักษาอาการท้องผูก ต้านการติดเชื้อ ปรับสภาพร่างกายให้เป็นด่างในคนที่มีสภาวะเครียด หรือ ร่างกายมีความเป็นกรดจากอาหาร และรักษาภาวะซีดในคนที่เป็นโรคโลหิตจาง บ้านอะลาง

โดยการศึกษาเพื่อพัฒนาตำรับผำ ได้ประเมินคุณภาพเชิงปริมาณโปรตีนรวมของผำ ทั้งก่อน-หลังการตั้งตำรับ และทำการตรวจวิเคราะห์โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งการตั้งตำรับเป็นรูปแบบยาเม็ดเคี้ยว ขนาด 500 มิลลิกรัมต่อเม็ด มีสีเขียว กลิ่นคล้ายสาหร่าย ความเป็นกรด-ด่าง (pH) เป็นกลาง ผลการวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนเท่ากับ 231.4 มิลลิกรัมต่อหนึ่งเม็ด ผลิตภัณฑ์ผ่านเกณฑ์มาตรฐานการประเมินคุณภาพยาเม็ดเคี้ยว.


การเลี้ยงไข่ผำ
องค์ความรู้   “ผำ” หรือเรียกว่า ไข่แหน (Fresh water Alga , Swapm Algae) รู้จักกันในชื่อ ไข่น้ำ , ไข่ขำ , และ ผำ มีชื่อพื้นเมืองทางภาคเหนือเรียกว่า ผำ ทางภาคกลางเรียกว่า ไข่น้ำ ส่วนภาคอีสานเรียกว่า ไข่ผำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า วอลฟ์เฟีย กลอโบซ่า (Wolffia globosa Hartog & Plas) จัดอยู่ในวงศ์เล็มนาซีอี้ (LEMNACEAE)

ไข่ผำ จัดเป็นพืชชนิดหนึ่งที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ อาจลอยอยู่เป็นกลุ่มล้วน ๆ หรือลอยปนกับพืชชนิด
อื่นๆ เช่น แหน , แหนแดง ก็ได้ ไข่ผำ เป็นพืชมีดอกที่มีขนาดเล็กที่สุด รูปร่างเป็นเม็ดกลมเล็ก ๆ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๐.๑ – ๐.๒ มม. มีสีเขียวลอยอยู่บริเวณผิวน้ำเป็นแพ มักเกิดในธรรมชาติที่น้ำใส นิ่ง เช่น บึง หนองน้ำ ผำจะพบมากในฤดูฝน นำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น ผัดไข่ผำใส่หมู แกงไข่
ผำ

ผำจะมีรสมัน ผำ ๑๐๐ กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย ๘ กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย เส้นใย ๐.๓ กรม แคลเซียม ๕๙ มิลลิกรม ฟอสฟอรัส ๒๕ มิลลิกรัม เหล็ก ๖.๖ มิลลิกรัม วิตามินเอ ๕๓๔๖IU วิตามินบีหนึ่ง ๐.๐๓ มิลลิกรัม วิตามินบีสอง ๐.๐๙ มิลลิกรัม ไนอาซิน ๐.๔ มิลลิกรัม วิตามินซี ๑๑ มิลลิกรัม คุณค่าทางโภชนาการของไข่ผำ มีแคลเซียมและเบต้าแคโรทีนสูงมาก แต่เพราะใน ไข่ผำมีสารพิษต้านฤทธิ์สารอาหาร จึงต้องนำไข่ผำมาทำให้สุกก่อนรับประทานทุกครั้ง


ผำมีการขยายพันธุ์ มี 2 แบบคือ

 1. การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ  เนื่องจากไข่แหนเป็นพืชมีดอกขนาดเล็กที่สุด ดอกของไข่แหนจะเจริญเติบโตออกทางช่องข้างบนของต้น ดอกไม่มีกลีบดอก และไม่มีกลีบเลี้ยง ดอกตัวผู้จะมีเกสรตัวผู้ 1 อัน ประกอบด้วยอับละอองเรณู 2 อับ ดอกตัวเมียมีรังไข่ที่มี 1 ช่องและมีไข่อยู่ 1 ใบ ก้านเกสรตัวเมียสั้นยอดเกสรตัวเมียมีลักษณะแบน เมล็ดมีขนาดเล็ก กลมเกลี้ยง ยังไม่ปรากฏว่าไข่แหนมีดอกในระเทศไทย มีแต่รายงานการพบเห็นในประเทศอื่น ไข่แหนจะมีดอกและเมล็ดในราวๆเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม

2. การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแตกหน่อ ซึ่งมีผู้ทำการศึกษา การเจริญเติบโตแล้วพบว่า โดยเฉลี่ย ไข่แหนแต่ละต้นจะแตกหน่อให้ต้นใหม่ทุกๆ 5 วัน
ประโยชน์ของผำ   สามารถนำมาปลูกเลี้ยงไว้ในพื้นที่ขนาดเล็ก เหมาะแก่การนำมาใช้ทำเป็นอุปกรณ์ในการศึกษา เช่นการศึกษาอิทธิพลของสารควบคุมการขยายพันธุ์ของพืช  เป็นอาหารของสัตว์น้ำและสัตว์ปีกหลายชนิดนอกจากนี้ ไข่แหน  ยังมีแคลเซียมและเบต้าแคโรทีนสูง


การเพาะเลี้ยงไข่น้ำ (ผำ) 
ขุดบ่อดินขนาดความลึกประมาณ 1 เมตร กว้าง 1 เมตรและยาวประมาณ 4 เมตร นำพลาสติกสีดำรองพื้นในบ่อ เพื่อป้องกันมิให้น้ำซึมออก ใส่ปุ๋ยชีวภาพหรือปุ๋ยคอก 20 กิโลกรัม ตามขนาดของบ่อ  เติมลินทรีย์ประมาณ 0.5 ลิตร ปล่อยน้ำเข้าบ่อให้เต็ม  แล้วนำพันธุ์ไข่น้ำใส่ลงไป ประมาณ 7 วัน จะขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว  สามารถเก็บไปจำหน่ายหรือรับประทานได้

ผำเป็นวัชพืชของสาหร่าย  เลี้ยงไว้เพื่อใช้บริโภคในประเทศไทย  ผำคือพืชผักชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางอาหาร ชาวชนบทนิยมใช้เป็นอาหาร ส่วนแนวโน้มที่จะพัฒนาผำเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดและความนิยมของผู้บริโภค เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ

เอกสารอ้างอิง: นัย  บำรุงเวช. โรงพิมพ์พิฆเนศ กทม. ผำเม็ดเล็กคุณภาพล้น. เทคโนโลยีชาวบ้าน. ปีที่8 ฉบับที่150    ประจำวันที่1 กันยายน 2539  เรียบเรียงใหม่โดยเกษตรบ้านอะลาง