หอยหวาน หรือบางท้องถิ่นเรียกว่าหอยตุ๊กแก ที่พบมากในประเทศมี 2 ชนิด คือ บาบิโลเนียอารีโอลาตา
(
Babylonia areolata)
และบาบิโลเนียสไปราต้า (Babylonia spirata)
ชนิดแรกเป็นชนิดที่มีผู้นิยมบริโภคมากกว่า
หอยหวานเป็นสัตว์น้ำที่มีราคาค่อนข้างแพง ตามท้องตลาดทั่วไปราคากิโลกรัมละ
120-200 บ.
ปัจจุบันสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งจังหวัดชลบุรี
สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำที่เกาะสีชัง จ.ชลบุรี,ศูนย์พัฒนาประมงทะเลฯ
ต.บ้านเพ จ.ระยอง และศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งระยอง ต.ตะพง จ.ระยอง
รวมทั้งภาคเอกชนบางรายได้พยายามเพาะขยายพันธุ์หอยชนิดนี้ให้มีมากขึ้น
เพื่อให้มีปริมาณลูกหอยมากเพียงพอและลดต้นทุนการผลิตลูกหอยหวาน
เป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรและผู้สนใจเลี้ยงหอยชนิดนี้เป็นการค้าต่อไป
หลักเกณฑ์การคัดเลือกสถานที่
สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงหอยหวานนั้นเป็นเงื่อนไขที่สำคัญเบื้องต้น
ของความสำเร็จในการดำเนินการ โดยมีข้อควรพิจารณาดังนี้
1. พื้นที่ที่เหมาะสม ควรเป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับทะเล
หรือเป็นเกาะอยู่ห่างจากทะเลไม่มากนัก สามารถนำน้ำทะเลมาใช้ได้สะดวกและ
เพียงพอ ต้นทุนน้ำจะได้ไม่แพงมากนักไม่ควรอยู่ใกล้ปากแม่น้ำ
หรือลำคลองขนาดใหญ่ที่มีน้ำจืดไหลลงมาจำนวนมากในฤดูฝน
เพราะอาจจะเกิดปัญหาความเค็มของน้ำลดลงรวดเร็ว ซึ่งจะมีผล
ต่ออัตราการตายของหอย
2. น้ำทะเลที่จะใช้เลี้ยงหอยหวานควรมีความเค็มใอยู่ในช่วง 28 – 35 พีพีที
หอยหวานอาจจะเจริญเติบโตช้าลง และหากมีความเค็มต่ำกว่า 20 พีพีที
หอยบางส่วนจะเริ่มตายลง
3. สถานที่ที่จะใช้เลี้ยงหอยหวาน
ควรตั้งอยู่ใกล้ภัตตาคาร โรงแรม และร้านอาหารประเภทต่างๆ
หากอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวก็ย่งดี
เพราะจะได้จำหน่ายผลผลิตหอยหวานได้สะดวกยิ่งขึ้น
4.
สถานที่สำหรับใช้เลี้ยงหอยหวาน
ไม่ควรตั้งอยู่ใกล้โรงงานหรือแหล่งมลพิษต่างๆ
ที่จะเป็นสาเหตุให้น้ำทะเลที่จะนำมาใช้เลี้ยงหอยหวานเกิดความสกปรก
น้ำไม่ใสสะอาดเท่าที่ควร อาจมีเชื้อโรคหรืสารพิษปนเปื้อน
หอยที่เลี้ยงไว้เกิดโรคต่างๆ ตายได้
5.
แหล่งเลี้ยงหอยหวาน ควรอยู่ใกล้แหล่งอาหารที่จะใช้เลี้ยงหอยหวาน เช่น
เนื้อปลา เนื้อหอยแมลงภู่ ทำให้ต้นทุนอาหาร มีราคาถูกไม่เสียค่าขนส่งแพง
มีอาหารให้หอยกินอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ
การเตรียมบ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยง
บ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยงหอยหวานนั้นมีหลายรูปแบบเป็นเหลี่ยมหรือ
รูปร่างกลม แต่ต้องมีระบบที่จะทำให้สามารถถ่ายน้ำได้สะดวก
อาจเป็นบ่อคอนกรีต บ่อผ้าใบ หรือถังไฟเบอร์กลาสที่มีรูปร่างทรงกลม
มีท่อน้ำล้น และทางน้ำเข้าออกสะดวก มีระบบให้อากาศในปริมาณที่พอเพียง
พื้นก้นบ่อหรือก้นถังดังกล่าวควรจัดให้มีทรายรองพื้นภาชนะ
เริ่มจากการใช้ทรายละเอียด หากลูกหอยยังมีขนาดเล็ก
ปริมาณทรายที่ใช้ไม่จำเป็นต้องมากนัก
ให้ทรายมีความหนาพอท่วมตัวหอยที่เลี้ยงก็เพียงพอแล้ว
ในกรณีที่ผู้เลี้ยงไม่ประสงค์ใช้ทรายรองพื้นก้นบ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยงก็
ประสงค์พอทำได้
โดยที่ผู้เลี้ยงต้องหมั่นเช็ดถูพื้นผิวบ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยงให้สม่ำเสมอ
มากยิ่งขึ้นทั้งนี้เพื่อเป็นการกำจัดเมือกและสิ่งสกปรกจากมูลหอยรวมทั้ง
อาหารหอยที่เหลือตกค้างซึ่งมักจะเกิดขึ้นเสมอ
นอกจากนี้
แล้วผู้เลี้ยงยังควรตรวจวัดปริมาณออกซิเจน ค่าแอมโมเนีย ไนไทรต์ และไนเตรด
เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอบ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยงไม่ควรมีขนาดใหญ่มากนัก
ควรเป็นขนาดที่สะดวกกับการระวังดูแลรักษาความสะอาดบ่อที่มีขนาดเส้นฝ่าศูนย์
กลาง 1 เมตร ก็น่าจะใช้ได้ดีแต่ต้องมีผิวภาชนะที่ราบเรียบ
ไม่ขรุขระซึ่งอาจจะเป็นที่สะสมของเชื้อโรคต่างๆ ได้ ควรทำการพรางแสง
เพื่อไม่ให้แสงสว่างส่องตัวหอยมากนัก
แสงสว่างที่มากเกินไปนอกจากเป็นการรบกวนหอยที่เลี้ยงแล้วยังเป็นการกระตุ้น
ให้แพลงตอนและสาหร่ายที่อยู่ในบ่อเกิดการสังเคราะห์แสง
เกิดสาหร่ายสีเขียวจำนวนมากเกาะที่ก้นบ่อและผนังบ่อ
ซึ่งเป็นสาเหตุให้น้ำเสียและเปลือกหอยที่เลี้ยงก็จะมีสาหร่ายและสิ่งปน
เปื้อนเกาะติด ทำให้ดูสกปรกและไม่สะอาด เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค

น้ำ
ที่ใช้เลี้ยงหอยหวานในบ่อหรือภาชนะต้องเป็นน้ำที่ใสสะอาด ไม่มีตะกอนแขวนลอย
หากมีอยู่มากน้ำจะขุ่นตะกอนขนาดเล็กเหล่านี้ไปเกาะที่เหงือกภายในตัวหอย
ทำให้หอยตายได้และน้ำที่ใช้เลี้ยงหอยก็ควรมีความเค็มในรอบปีไม่แตกต่างกัน
มากนัก ขนาดความลึกของน้ำในบ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยงไม่จำเป็นต้องลึกมากนัก
ขนาดความลึกประมาณ 40 ซม. ก็ใช้ได้แล้ว
ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดและความหนาแน่นของหอยที่นำมาเลี้ยงรวมทั้งปัจจัยอื่นๆ
ด้วย
ขนาดและอัตราการปล่อย
เนื่องจากปัจจุบันมีผู้สนใจที่จะเลี้ยงหอยหวานมากขึ้น
ในขณะที่หน่วยราชการและเอกชนยังไม่สามารถผลิตลูกพันธุ์หอยชนิดนี้ได้เพียงพอ
กับความต้องการของผู้ที่สนใจจะนำไปทดลองเลี้ยง
อย่างไรก็ตามหน่วยงานของกรมประมงก็พยายามค้นคว้าวิจัย
เพื่อพัฒนาการเพาะขยายพันธุ์หอยหวานชนิดนี้
หากสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ด้วยตนเอง
ก็สามารถลดต้นทุนที่เป็นลูกพันธุ์หอยลงได้มาก
ขนาดลูกหอยหวานที่เหมาะสมจะนำไปเลี้ยงนั้น
อย่างน้อยควรมีความยาวเปลือกตั้งแต่ 0.5 ซม ขึ้นไป
ถ้าจะให้ได้ผลดีควรมีความยาวเปลือกตั้งแต่ 1 ซม.
หากนำลูกหอยดังกล่าวไปเลี้ยงก็จะมีอัตราการรอดตายค่อนข้างสูง
อัตราการปล่อยลูกหอย ขนาดความยาวเปลือก 1 – 1.5 ซม.
ที่เหมาะสมควรปล่อยประมาณ 300 – 500 ตัวต่อพื้นที่ก้นบ่อ 1 ตารางเมตร
อย่างไรก็ตาม
อัตราปล่อยจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการจัดการเรื่องการเลี้ยงและการดูแล
รักษาที่ดีผู้เลี้ยงก็สามารถที่จะปล่อยลูกหอยลงเลี้ยงในบ่อได้หนาแน่นเพิ่ม
ขึ้น
อาหารและการให้อาหาร
โดยธรรมชาติของหอยหวานที่คืบคลานบนพื้นทะเล
จะชอบกินอาหารประเภทเนื้อเป็นหลัก
หากนำลูกหอยหวานมาเลี้ยงในบ่อก็สามารถเลี้ยงด้วยเนื้อปลา เนื้อหอยแมลงภู่
เนื้อหอยกะพง
รวมทั้งอาหารเม็ดกุ้งทะลและอาหารผสมอื่นๆทั้งนี้ขึ้นกับความสะดวกในการจัด
ซื้อจัดหาและราคาของอาหารชนิดนั้นๆ
ปัจจุบันพบว่าการใช้เนื้อหอยแมลงภู่เลี้ยงหอยหวาน
หอยหวานจะมีอัตราการเจริญเติบโตดีกว่าการใช้เนื้อปลา
การให้อาหารขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่จะให้และขนาดของลูกหอยหวานที่เลี้ยง
หากใช้เนื้อปลาควรใช้เนื้อปลาที่ราคาไม่แพงนัก เช่นเนื้อปลาข้างเหลือง
หรือปลาเบญจพรรณอื่นๆ ทำการแล่เอาเฉพาะเนื้อปลา
สับเป็นชิ้นๆใหญ่เล็กตามขนาดของหอยที่เลี้ยง
หากใช้เนื้อหอยแมลงภู่ควรซื้อหอยแมลงภู่ขนาดเล็กหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า
หอยเป็ด มีขนาดความยาวเปลือกไม่เกิน 3 ซม.
ซึ่งชาวประมงผู้เลี้ยงหอยแมลงภู่จะตัดหลักหอยขนาดเล็กนี้จำหน่ายในราคาถูกจะ
ทำให้ต้นทุนค่าอาหารต่ำลง หอยแมลงภู่และเนื้อปลาที่ใช้ควรมีความสะอาด
หากเป็นหอยแมลงภู่ก็ทำผ่าตัวหอยแล้วแบะให้ฝาหอยทั้งสองข้างอ้าออก
หอยหวานก็จะสามารถเข้ามาดูดกินเนื้อหอยแมลงภู่ได้สะดวก
หากใช้อาหารชนิดอื่นๆ
นอกจากที่กล่าวมาแล้วก็จำเป็นต้องดัดแปลงวิธีการให้อาหารให้เหมาะสมเป็นชนิด
ไปปริมาณอาหารที่ให้ในกรณีที่ใช้เนื้อปลาเลี้ยงควรให้ 2 – 10 %
ของน้ำหนักหอยหวานทั้งหมดที่เลี้ยงหากใช้เนื้อหอยแมลงภู่เลี้ยงก็ควรให้ 5 –
30 % ของน้ำหนักหอยทั้งหมดที่เลี้ยง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ
จึงจำเป็นต้องปรับปริมาณอาหารที่ให้เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารที่ใช้เลี้ยงเหลือมากเกินไปหรือไม่เพียงพอ
ปกติแล้วจะให้วันละ 2 ครั้งในช่วงเวลาเดียวกันทุกวัน โดยให้วันละ 2 – 3
ชั่วโมงหลังให้อาหารแล้วเก็บอาหารส่วนที่เหลือออกให้หมด
การดูแลรักษา
การเลี้ยงหอยหวานในระดับที่มีความหนาแน่นมากนั้น
จะมีเศษอาหารที่ให้และมูลหอยซึ่งเป็นอินทรีย์สารจำนวนหนึ่งเมื่อระบายน้ำ
ซึ่งมีอินทรีย์สารเหล่านี้ลงทะเลก็จะเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในทะล
จึงไม่มีผลในทางลบกับสภาพแวดล้อมในทะเลแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามผู้เลี้ยงจะต้องหมั่นทำความสะอาดทรายรองพื้นหรือบ่อเลี้ยงเป็น
ประจำ 3 วันครั้งหรือสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
คุณสมบัติของน้ำที่ใช้เลี้ยงและสภาพพื้นทรายว่ามีสีดำและสกปรกมากหรือไม่
เพียงใด
หากพื้นทรายที่หอยอาศัยอยู่เกิดมีลักษณะคราบสีดำแผ่กว้างออกมากขึ้น
จำเป็นต้องจัดการทำความสะอาดที่รองพื้นดังกล่าวกรณีที่ตรวจพบว่าน้ำมีปริมาณ
ออกซิเจนต่ำมาก และมีปริมาณแอมโมเนีย ไนไทร์ตและไนเตรดค่อนข้างสูง
ผู้เลี้ยงต้องทำการปรับเปลี่ยนน้ำในบ่อเลี้ยงใหม่
หรือทำการปรับระบบให้น้ำที่ใช้เลี้ยงให้มีการไหลถ่ายเทมากขึ้นตามความจำเป็น
เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำที่ใช้เลี้ยงคุณภาพเสื่อมและเสียเร็ว
ผู้เลี้ยงควรเก็บอาหารที่ใช้เลี้ยงออกทุกครั้ง
ควรทำการตรวจสอบประจำวันเกี่ยวกับระบบน้ำ ระบบการให้อากาศ
และสภาพการเปลี่ยนความเค็มของน้ำในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
หากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกะทันหันจะต้องเร่งแก้ไขทันที โดยเฉพาะในฤดูฝน
หากมีฝนตกมากน้ำฝนหลากไหลลงสู่ทะเลน้ำบริเวณชายฝั่งจะมีความเค็มลดลงมาก
หากนำน้ำดังกล่าวมาใช้ในบ่อเลี้ยงจะส่งผลการกินอาหารของหอย
อาจทำให้หอยโตช้าลงหรือตายได้
การตรวจสอบการเจริญเติบโตของหอยหวานในบ่อที่เลี้ยง
ควรดำเนินการอย่างน้อยเดือนละครั้ง รวมทั้งการดำเนินการข้อสังเกตต่างๆ
ของผู้เลี้ยง นำมาวิเคราะห์พิจารณาหาปัญหา หาสาเหตุและแนวทางการแก้ไข
จะช่วยให้การเลี้ยงมีการพัฒนาและประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น
ต้นทุนและการผลิต
ต้นทุนการเลี้ยงหอยหวานนั้นจะใช้ทุนมากในช่วงเริ่มต้น คือต้นทุนคงที่
ได้แก่ บ่อหรือภาชนะที่ใช้เลี้ยง ถ้าหากมีอายุการใช้งานยาวนานมากกว่า 5
ปีจะทำให้เกิดความคุ้มทุนได้
สำหรับต้นทุนผันแปรที่สำคัญที่ใช้เงินลงทุนมากก็คือ
ค่าลูกพันธุ์หอยหวานที่นำมาเลี้ยง
รวมทั้งค่าอาหารที่ใช้ปัจจุบันราคาลูกพันธุ์หอยหวานขนาดที่มีความยาวเปลือก
ประมาณ 0.5 ซม. นั้นราคาไม่แพงนัก
แต่ถ้าเป็นลูกพันธุ์หอยขนาดที่มีความยาวเปลือกถึง 1 ซม.อาจมีราคามากกว่า
ตัวละ 1 บาท อย่างไรก็ตามในอนาคตอันใกล้นี้ ต้นทุนการผลิตลูกหอยจะต่ำลงมาก
เนื่องจากกรมประมงและหน่วยงานต่างๆ
ทั้งภาครัฐและเอกชนกำลังพัฒนาวิธีการเพาะและอนุบาลลูกหอยวัยอ่อนให้มีอัตรา
รอดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนต่ำลง
เมื่อนำลูกหอยหวานขนาดดังกล่าวมาเลี้ยงเป็นเวลาประมาณ 5 – 6 เดือน จะมีอัตรารอดประมาณ 90 %
หอย
จะมีนำหนักประมาณ 80 – 100 ตัว/กิโลกรัม
โดยสามารถคัดขนาดและเริ่มจับจำหน่ายได้บ้างแล้ว
หากตลาดต้องการหอยที่มีขนาดใหญ่ชึ้นก็สามารถเลี้ยงต่อจนกระทั่งหอยมีขนาด
น้ำหนัก 40 -50 ตัว/กิโลกรัม
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริโภคและราคาที่รับซื้อภายในประเทศรวม
ทั้งราคารับซื้อเพื่อการส่งออกในขณะนั้น