ก
ารเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลากระพงขาว
ปลากะพงขาว Lates calcarifer ( Bloch )
ชื่อสามัญเรียก (
Giant Perch)
ปลา
กะพงขาว เป็นปลาน้ำกร่อยขนาดใหญ่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Lates calcarifer
(Bloch) ชื่อสามัญเรียกว่า Giant Perch หรือ Sea Bass
สามารถอาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำจืด น้ำกร่อยและน้ำเค็ม
ปลาชนิดนี้เลี้ยงกันแพร่หลายในเขตจังหวัดชายทะเลของประเทศไทย
เนื่องจากเลี้ยงง่าย โตเร็ว เนื้อมีรสชาติดีและมีราคา
ปัจจุบันประเทศไทยสามารถเพาะพันธุ์ปลากะพงขาวได้เป็นจำนวนมาก
เพื่อเลี้ยงในประเทศและส่งขายต่างประเทศ
ในปัจจุบันพบปลากระพงขาวแพร่กระจายอยู่ทุกจังหวัด
ทั้งในอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามันจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่ไม่ห่างออกไปจาก
ชายฝั่งมากนัก โดยอาศัยอยู่ชุกชุมตามปากแม่น้ำลำคลองและปากทะเลสาบ
อย่างไรก็ตาม ปลากะพงขาว
ยังสามารถขึ้นไปอาศัยและเจริญเติบโตยังแหล่งน้ำจืดได้อีกด้วย
จึงจัดเป็นปลาประเภทสองน้ำอย่างแท้จริง
วิธีการเลี้ยงปลากะพงขาว
ปลา
กะพงขาวเป็นปลาที่นิยมเลี้ยงกันมาก เพราะพันธุ์ปลาหาได้ง่าย
เนื่องจากสถานีประมงของทางราชการและฟาร์มเอกชนสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ปีละ
หลายสิบล้านตัว นอกจากนี้ปลากะพงขาวยังสามารถอยู่อาศัยได้ในน้ำจืดอีกด้วย
จึงสามารถเลี้ยงได้ในแหล่งน้ำที่มีปริมาณน้ำจืดหลากลงมามาก ๆ
ในฤดูฝนได้โดยไม่เป็นอันตราย
การเตรียมพันธุ์ปลา
ปลากะพงขาวที่จะปล่อยเลี้ยงในกะชังต้องมีขนาดความยาว 10 เซนติเมตร (4 นิ้ว) ขึ้นไป จึงจะเลี้ยงได้ผลดี มีอัตรารอดตายมากกว่า 90%
การจัดปลาลงเลี้ยงในกระชังและอัตราปล่อย
การ
จัดปลาลงเลี้ยงในกระชังนั้น
จะต้องคัดปลาที่มีขนาดใกล้เคียงกันอยู่ในกระชังเดียวกัน
เพราะถ้าปล่อยปลาขนาดต่างกันมาก
ปลาใหญ่จะแย่งกินอาหารได้มากกว่าและปลาขนาดเล็กจะไม่กล้าเข้าไปแย่งอาหาร
ทำให้ปลาเจริญเติบโตต่างกันมาก
จากผลการทดลองของกองเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งพบว่า
สามารถปล่อยปลากะพงขาวขนาด 4 นิ้วลงไปเลี้ยงได้ในอัตราปล่อยตั้งแต่ 100-300
ตัวต่อตารางเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและทำเลของที่ตั้งกระชัง
โดยในบริเวณริมฝั่งแม่น้ำลำคลองที่มีสภาพน้ำไม่ดีนัก น้ำไหลถ่ายเทไม่ดีพอ
สามารถปล่อยเลี้ยงได้ในอัตรา 100 ตัวต่อตารางเมตร
การอนุบาลลูกปลากะพงขาววัยอ่อน
ใน
การอนุบาลลูกปลากะพงขาววัยอ่อนสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งคือการเตรียม
อาหารสำหรับลูกปลาวัยอ่อนอาหารที่ให้ในระยะแรกที่ลูกปลาเริ่มกินอาหารเป็น
แพลงก์ตอนสัตว์ (zooplankton) ที่มีขนาดเล็กมาก มีชื่อทั่วไปว่าโรติเฟอร์
(Rotifer) ชนิดที่ใช้เลี้ยงลูกปลากะพงขาวเป็นโรติเฟอร์น้ำกร่อย
ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Brachionus plicatilis
ซึ่งลูกปลาวัยอ่อนชอบกินและทำให้ลูกปลาโตเร็วและแข็งแรงมีอัตรารอดสูง
ดังนั้นการเตรียมเพาะโรติเฟอร์ไว้มาก ๆ
จึงจำเป็นในการอนุบาลลูกปลาเป็นอย่างยิ่ง
แต่ถ้าไม่มีโรติเฟอร์ก็จะไม่มีประโยชน์อันใดเลย
เพราะอาหารลูกปลาวัยอ่อนเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการอยู่รอดของลูกปลามาก
น้ำที่ใช้ในการอนุบาลลูกปลา
น้ำ
ที่ใช้อนุบาลลูกปลาควรเป็นน้ำสะอาด ก่อนใช้กรองด้วยผ้ากรองตาละเอียด
เพื่อป้องกันสิ่งเจือปนอื่น ๆ โดยเฉพาะไข่ของสัตว์น้ำที่อาจติดมากับน้ำ
ซึ่งถ้าติดลงไปในบ่ออนุบาลแล้ว
จะกลับกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวของลูกปลาวัยอ่อน เช่น แมงกะพรุนตัวเล็ก ๆ
สามารถกินลูกปลาเล็ก ๆ ได้ ถ้าไม่ระวังให้ดีจะกินลูกปลาหมดภายในเวลาไม่เกิน
7 วัน
ความเค็มของน้ำในตอนเริ่มปล่อยลูกปลาลงอนุบาลในตอนแรก
ความเค็มจะอยู่ที่ระดับ 28-30 ppt. และเนื่องจากปลากะพงขาวเป็นปลาน้ำกร่อย
โดยธรรมชาติแล้วเราจะพบลูกปลาเล็ก ๆ
จะเข้าไปอาศัยเลี้ยงตัวอยู่ในแหล่งน้ำที่เกือบจะจืดสนิท
ดังนั้นในการอนุบาลลูกปลาจึงทำการลดความเค็มลงเป็นประจำทุกวัน
โดยลดแต่ละครั้งประมาณ 1 - 2 ppt.จนความเค็มได้ระดับ 10-15 ppt.
จึงหยุดลดความเค็ม
อาหาร
อาหารที่ใช้อนุบาล
ลูกปลากะพงขาวอายุ 1-30 วัน ส่วนใหญ่เป็นพวกไรน้ำที่มีชีวิต
เพราะลูกปลาวัยนี้ชอบกินอาหารที่มีชีวิตมาก
ไรน้ำที่ให้มีหลายชนิดขึ้นอยู่กับอายุและขนาดของลูกปลา
การให้ไรน้ำที่มีชีวิตมีผลเสียตอนที่เราไม่สามารถเตรียมอาหารให้ทันกับจำนวน
ลูกปลาที่ออกมา จะทำให้ลูกปลาขาดอาหารโตช้าและไม่แข็งแรง ถ้าจำนวนมาก ๆ
ลูกปลาจะเหลือรอดน้อยมาก และการเตรียมอาหารบางอย่างก็ต้องใช้เวลา ดังนั้น
จึงต้องทราบแน่ชัดว่าจะใช้อาหารชนิดใด ตอนลูกปลาขนาดไหนอยู่กี่วัน
ควรเริ่มทำการเตรียมอาหารตั้งแต่เมื่อไร เพื่อจะได้ใช้อาหารนั้น ๆ
ทันเวลาและพียงพอกับปริมาณลูกปลาที่อนุบาลแล้ว
ชนิดและระยะการให้ไรน้ำต่าง ๆ เพื่อเป็นอาหารแก่ลูกปลามีดังนี้
โรติเฟอร์ เป็นไรน้ำที่มีขนาดเล็ก กินแพลงก์ตอนขนาดเล็กเป็นอาหาร เช่น
Chlorella Bunaliella,
Chlamydomonas, Cyclotella, Yeast หรือ Bread yeast ฯลฯ
ดังนั้นในระยะที่ให้โรติเฟอร์แก่ลูกปลาจึงนิยมใส่ Chlorella
ลงในบ่ออนุบาลด้วย เพื่อจะได้เป็นอาหารสำหรับโรติเฟอร์ที่เหลือจากลูกปลากิน
ทำให้โรติเฟอร์ส่วนที่เหลือจะสามารถขยายพันธุ์ในบ่ออนุบาล
เป็นอาหารลูกปลาคราวต่อไป นอกจากนั้นการใส่ Chlorella
ลงในบ่อจะเป็นการช่วยบดบังแสงให้แก่ลูกปลา
และช่วยดึงของเสียบางอย่างที่ละลายอยู่ในน้ำเป็นการช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำ
ให้อยู่ในสภาพดีด้วย
อาธิเมีย
เริ่มให้อาธิเมียแก่ลูกปลาเมื่อปลาอายุได้ 8 วัน
เพราะมีลูกปลาตัวโตสามารถกินได้
ปกติแล้วจะให้อาธิเมียไปจนกว่าลูกปลาจะกินไรแดงได้
จึงหยุดให้อาธิเมียหรือเมื่อลูกปลามีอายุได้ 20 วัน
ไรแดง
เป็นไรน้ำจืดที่สามารถเพาะเตรียมขึ้นได้
ดังนั้นในการให้ไรแดงเป็นอาหารแก่ลูกปลา
จึงต้องคำนึงถึงความเค็มของน้ำในบ่ออนุบาล
ปกติระยะที่ให้ไรแดงความเค็มของน้ำจะอยู่ที่ระดับ 10-15 ppt.
ความเค็มระดับดังกล่าว ไรแดงจะตายภายใน 10-20 นาที
ลูกปลาจะกินก่อนที่ไรแดงจะตาย เป็นการขจัดปัญหาเรื่องอาหารเหลือ
อันจะก่อให้เกิดปัญหาน้ำเสียได้
ลูกกุ้งเคยและตัวอ่อนของแมลง
ลูกกุ้งเคยตัวเล็ก ๆ และตัวอ่อนของแมลงเล็ก ๆ เช่น
ลูกน้ำเหมาะกับการให้เป็นอาหารลูกปลาเมื่อลูกปลามีอายุ 21 วันขึ้นไป
แต่ปัญหาก็มีเพราะบางครั้งลูกกุ้งเคยหายาก
เนื้อปลาสับละเอียด
ลูกปลาที่มีอายุ 21 วันขึ้นไป เริ่มฝึกให้กินเนื้อปลาสับละเอียดได้
โดยในตอนแรก ๆ ลูกปลาซึ่งไม่เคยชินและยังไม่ยอมกิน ต้องพยายามฝึกเป็นประจำ
โดยให้ทีละน้อย ๆ ให้หลาย ๆ ครั้ง ในวันหนึ่ง ๆ
ส่วนเศษอาหารที่เหลือดูดออกในตอนเย็นไม่ควรปล่อยค้างคืนไว้ในบ่อ
เมื่อปลาเคยชินกับเนื้อปลาที่ฝึกให้กิน ก็หยุดให้ไรน้ำ
สภาพแวดล้อมอื่น ๆที่ต้องระมัดระวังในการอนุบาลลูกปลากะพงขาว
อุณหภูมิ
ปกติอุณหภูมิในบ่ออนุบาลลูกปลาเฉลี่ย 27Co ถ้าอุณหภูมิสูงถึง 30Co หรือ
31Co ลูกปลาจะกินอาหารมาก ว่ายน้ำกระวนกระวาย ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 24Co
ลูกปลาจะไม่ค่อยกินอาหารและทำให้อ่อนแอเกิดโรคแทรกได้ง่าย
- แสงสว่าง
ปกติลูกปลาจะเคลื่อนที่เข้าหาแสง
แต่แสงสว่างถ้าจ้าเกินไปจะมีผลต่อระบบสายตา ของลูกปลา โดยเฉพาะลูกปลาอายุ
1-5 วัน ทำให้ลูกปลาไม่ค่อยจับอาหารกินและแสงไฟขนาด 200
แรงเทียนเมื่อส่องใกล้ ๆ
ลูกปลาทำให้ลูกปลาเกิดอาหารผิดปกติเสียการทรงตัวในการว่ายน้ำ
โรค โรคที่เกิด เท่าที่ปรากฏมีโรคโปรโตซัว (
Ciliated Protozoa)
แต่ยังไม่ทราบชนิดแน่นอน โรคพวกนี้จะเกาะตามเหงือกปลา
ทำให้ปลาเกิดอาการระคายเคืองและเกิดมีเมือกหุ้มเหงือกทำให้หายใจไม่สะดวก
ปลาที่เป็นโรคนี้จะมีสีลำตัวคล้ำผิดปกติ จะรวมอยู่เป็นกลุ่มตามมุมบ่อ
เป็นโรคที่เกิดและระบาดอย่างรวดเร็ว ทำให้ปลาตายหมดภายในไม่เกิน 5 วัน
การ
เจริญเติบโตและผลผลิต ปลากะพงขาวที่เลี้ยงในกระชังจะเจริญเติบโตได้ขนาดตลาด
(500 - 800 กรัม) ในระยะเวลาการเลี้ยงประมาณ 6-7 เดือน
จากการศึกษาของวิเชียร (2528) ซึ่งได้ทำการเลี้ยงปลากะพงขาวในกระชัง
โดยปล่อยปลาที่มีขนาด 10-15 เซนติเมตร ในอัตรา 100 ตัวต่อตารางเมตร
เมื่อเลี้ยงได้ 6 เดือน สามารถให้ผลผลิตสูงถึง 59 กิโลกรัมต่อพื้นที่กระชัง
1 ตารางเมตร
ข้อดีของปลากะพงขาว ที่เกษตรกรนิยมนำมาเลี้ยงคือ
เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว เนื้อมีรสชาติดี มีราคาดีพอสมควร
หาพันธุ์ปลาได้ง่าย มีทุกขนาด และสามารถหาได้ในปริมาณไม่จำกัด
สามารถเลี้ยงได้แพร่หลายทั้งในแหล่งน้ำจืด น้ำกร่อย หรือน้ำเค็มโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณปากแม่น้ำที่มีความเค็มแปรเปลี่ยนได้ง่าย
ข้อเสียของการเลี้ยงปลากะพงขาว
มีปัญหาเรื่องตลาด เนื่องจากส่งไปขายต่างประเทศได้น้อยมาก ทั้งนี้เพราะต่างประเทศได้สั่งซื้อ
ลูกปลาจากประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านไปเลี้ยง ทำให้มีปริมาณเนื้อปลาพอเพียง