ดอกเข้าพรรษา
เมื่อถึงเทศกาลเข้าพรรษาของแต่ละปี จะมีดอกไม้ชนิดหนึ่ง ออกดอกสีขาวเป็นช่อเล็กๆ ถ้าดอกนั้นอยู่กับต้นก็จะดูธรรมดาไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไร แต่เมื่อมีคนคิดสร้างสรรนำดอกไม้นี้มาจัดรวมกันเป็นชั้นๆ คล้ายบายศรี ก็ดูสวยงามแปลกตา ไถ่ถามกันพึมพำว่า "ดอกอะไร" แปลกดี ดอกไม้ที่ว่านี้ เรียกกันว่า "หงส์เหิน" หรือ ดอกเข้าพรรษา เพราะจะออกดอกในช่วงเข้าพรรษาพอดี คือ ระหว่าง พฤษภาคม -ตุลาคม อาจจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น กล้วยจ๊ะก่า (ตาก) กล้วยจ๊ะก่าหลวง (ลำพูน) กล้วยเครือคำ (เชียงใหม่) ก้ามปู (พิษณุโลก) ขมิ้นผี หรือกระทือลิง (ภาคกลาง) ว่านดอกเหลือง (เลย)ดอกเข้าพรรษา (สระบุรี) ที่เรียกว่า "หงส์เหิน" เพราะดอกและเกสรจะมีลักษณะเหมือนตัวหงส์กำลังจะบิน มีลีลาสง่างาม มีกลีบประดับเรียงตมามช่อดอกแหล่งกำเนิด "บ้านอะลาง"
ดอกเข้าพรรษา
ชื่อไทย : ดอกเข้าพรรษา หรือดอกหงส์เหิน
ชื่ออังกฤษ : Globba
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Globba winitii C.H. Wright
ฤดูกาล : จะออกดอกในช่วงเข้าพรรษาพอดี เป็นพันธุ์ไม้ที่เจริญเติบโตและออกดอกในช่วงฤดูฝน
ลักษณะโดยทั่วไป : ดอกเข้าพรรษา จะมีลำต้นเป็นหัวแบบเหง้า มีรากสะสมอาหารคล้ายรากของกระชาย ส่วนของลำต้นเหนือดินกาบใบที่เรียงตัวกันแน่นสูง ใบเดี่ยว ยาวรี ปลายใบแหลม ดอกมีรูปร่างเรียว กลีบดอกเชื่อมติดกันส่วนใหญ่ดอกเข้าพรรษา ในหนึ่งปีนั้นจะออกดอกเพียงครั้งเดียว
ประโยชน์ : ดอกเข้าพรรษาเป็นไม้กระถาง ใช้ประดับสวนหรือปลูกเป็นแปลง ส่วนใหญ่นิยมตัดดอกนำมาถวายพระ
หงส์เหิน (Globba winiti) เป็นไม้พื้นเมืองของไทยที่เกิดในป่าร้อนชื้น ภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ หรือขึ้นอยู่ตามชายป่า ซึ่งในป่าเมืองไทยมีพืชสกุล Globba ขึ้นกระจายอยู่ทุกภาค อาจมีมากถึง 40 ชนิด จากการสำรวจพบว่า แถบภาคเหนือและภาคกลาง มีความหลากหลายของพันธุ์สูงกว่าภาคอื่นๆ แต่ยังไม่มีการศึกษาทบทวนด้านอนุกรมวิธาน สำหรับพื้นที่บริเวณภาคเหนือรายงานว่าพบ Globba 3 ช นิด คือ G.nuda, G.purpurascens และG.reflexa บริเวณป่าทิศตะวันออกดอยสุเทพ นอกจากนี้ พบ G. reflexa หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "ดอกคำน้อย" ขึ้นตามทุ่งหญ้าที่ค่อนข้างชุ่มชื้น ในภาคเหนือ ตั้งแต่ระดับความสูง 700 - 1,000 เมตร สำหรับ G.nuda พบในป่าผลัดใบ สำหรับ G.pupurascens. นี้จะสร้างหัวเล็กๆ (bulbil) ที่โคนกลีบเลี้ยงและราก จะงอกในขณะที่อยู่บนช่อ เมื่อหัวเล็กๆ นั้นโตเต็มที่ยังสำรวจพบ G.clarkel, G.obscura, G.platystachya. G.purpur-ascens และ G.reflexa ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์อีกด้วย สำหรับ G.winitil หรือหงส์เหิน เป็นพันธุ์ที่มีกลีบประดับขนาดใหญ่สีม่วงเข้มและยังมีพันธุ์ที่มีกลีบประดับสีขาว ซึ่งได้มีการนำไปปลูกประดับแพร่หลายไปทั่วโลกแล้วลักษณะทางพฤกษศาสตร์
หงส์เหินเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ Zingiberaceae และอยู่ใน Genus Globba
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ คือ
ต้น : หงส์เหินเป็นพืชที่มีลำต้นเป็นหัวใต้ดิน ประเภทเหง้าแบบ Rhizome มีรากสะสมอาหารลักษณะอวบน้ำคล้ายรากกระชาย เรียงอยู่โดยรอบหัว และส่วนของลำต้นเหนือดิน คือ กาบใบที่เรียงตัวกันแน่น ทำหน้าที่เป็นต้นเทียมเหนือดิน มักเกิดเป็นกลุ่มกอ สูงประมาณ 30-70 ซม.
ใบ : เป็นใบเดี่ยวลักษณะเรียวยาว รูปใบหอกคล้ายใบกระชาย แต่มีขนาดเล็กกว่าออกเรียงสลับซ้ายขวาเป็นสองแถวในระนาบเดียวกัน ขนาดของใบกว้างประมาณ 10 x 25 ซม.
ดอก : ดอกออกเป็นช่อซึ่งแทงออกมาจากยอดของลำต้นเทียม ช่อจะโค้ง และห้อยตัวลงอย่างอ่อนช้อยสวยงาม มีก้านดอกย่อยเรียงอยู่โดยรอบ ประกอบด้วยดอกจริง 1-3 ดอก สีเหลือง สดใสแต่จะมีกลีบประดับ (bract) ที่แตกต่างกันหลายรูปทรง และหลายสีจาก globba ที่รวบรวมไว้มี 2 ชนิด คือ G.winitil และ g.schomburgkil ซึ่งจะมีลักษณะของช่อดอกและกลีบประดับแตกต่างกันคือ
G.winitil : จะมีกลีบประดับขนาดใหญ่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบสวยงามตามช่อ โดยรอบจากโคนถึงปลาย สีของกลีบประดับที่พบมีหลายสี
ได้แก่ สีขาว สีม่วง สีเขียว และสีแดง มีก้านดอกย่อยยาวชูดอกออกมาเห็นชัดเจน ดอกจริงมีสีเหลืองลักษณะคล้ายรูปตัวหงส์ยืน กำลังจะเหินบิน มีลีลา
สง่างามทำให้ช่อดอกมีสีสันสวยงามมากขึ้น ช่อดอกยาวประมาณ 10 - 20 ซม.
G.schomburgkil : จะมีใบประดับสีเขียวอ่อนไม่สะดุดตาแต่ให้ช่อดอกที่มีดอกจริงสีเหลืองสดใส จะเรียงตัวถี่ ลักษณะพิเศษของ Globba
ประเภทนี้ คือ ช่อดอกมักมีหัวเล็กๆ ลักษณะคล้ายเมล็ดมะละกอสีเขียวอยู่ที่โคนกลีบเลี้ยง และจะงอกราก ในขณะที่อยู่บนช่อเมื่อหัวเล็กๆ นั้นโตเต็มที่ ซึ่ง
สามารถนำไปขยายพันธุ์เป็นต้นใหม่ได้ หงส์เหิน เป็นพันธุ์ไม้ที่เจริญเติบโตและออกดอกในช่วงฤดูฝน จากนั้นจะพักตัวในช่วงฤดูหนาวจนถึงฤดูร้อน ซึ่งต้น
เหนือดินจะยุบแห้งไปเหลือไว้เพียงหัวที่ฝังตัวอยู่ใต้ดิน และจะงอกใหม่ในช่วงฤดูฝนต่อไป
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์หงส์เหิน สามารถทำได้ทั้งการแยกเหง้า และการเพาะเมล็ด แต่วิธีที่สะดวกรวดเร็ว และได้ผลดีคือ การแยกเหง้า โดยการขุดเหง้าหรือหัวใต้ดินในระยะพักตัวคือ ช่วงฤดูแล้ง หลังจากต้นเหนือดินได้ยุบไปแล้ว นำมาปลิดแยกเป็นหัวๆ ลงปลูกในแปลงโดยฝักลึก 5 ซม. ใช้ระยะปลูก20 x 30ซม. หงส์เหินไม่เหมาะกับการขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ เพราะหน่อที่แยกมาปลูกจะชะงักการเจริญเติบโตไม่สามารถแตกกอให้ดอกได้
การดูแลรักษา
หงส์เหินเป็นพืชที่ต้องการร่มรำไรแปลงปลูกกลางแจ้ง ควรพรางแสงไม่น้อยกว่า 50% แปลงปลูกควรคลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง เพื่อรักษาความชื้นและความสะอาดสดใสของดอก
1. การใส่ปุ๋ย ควรใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก อัตรา1 ตันต่อไร่ และปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 50 กก./ไร่
หว่านให้ทั่วแปลงช่วงแตกใบอ่อนปีละครั้ง
2. การให้น้ำ หงส์เหินเป็นพืชที่ต้องการความชุ่มชื้น แต่ไม่แฉะ ถ้าอากาศแล้ง
ควรให้น้ำอย่างน้อยวันละครั้งในช่วงเช้า
3. การตัดแต่ง ในแปลงปลูกจากปีที่ 2 เป็นต้นไป ประชากรในแปลงอาจมีความหนาแน่นทำให้เกิด
โรคระบาด ดอกมีขนาดเล็กไม่สมบูรณ์ ควรมีการตัดแต่งให้แปลงโปร่ง โดยตัดต้นไม่สมบูรณ์หรือตัดใบทิ้งบ้าง
โรคและแมลงศัตรู
อาจพบโรคระบาดในแปลงที่มีอายุปลูกเกิน 3 ปี ฉะนั้นควรมีการย้ายแปลงปลูก หรือปลูกพืชหมุนเวียนในแปลงปลูก หรือปลูกพืชหมุนเวียนใน แปลงปลูกที่มีอายุเกิน 3 ปี เพื่อหลีกเลี่ยงโรคระบาด โรคที่สำคัญ ได้แก่
1. โรคหัวเน่า : เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ในแปลงปลูกที่มีสภาพชื้นแฉะ และอากาศร้อนชื้น อาจเกิดการ
ระบาดของโรคหัวเน่าได้
1.1 อาการ ต้นและใบเหี่ยวในขณะที่ยังเขียวอยู่ต้นและเหง้าใต้ดินเน่าและมีกลิ่นเหม็น
1.2 การป้องกันกำจัด แปลงปลูกไม่ควรให้น้ำขังหรือแฉะ ถ้าพบต้นเป็นโรคให้ถอนเผาไฟ
Metalaxyl (ริดโดมิล 25% wp) หรือ Manco-zeb และพ่นทางใบให้ทั่วแปลงสัปดาห์ละครั้ง
2. โรคแอนแทรคโนส : เกิดจากเชื้อรา colletotrichum sp. ระบาดมากในสภาพความชื้นสูง มีหมอก
และน้ำค้างมาก อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
2.1 อาการ ที่ใบและกลีบประดับ เป็นปื้น หรือขีดสั้นๆ สีน้ำตาลหรือดำ ขอบแผลมีรอยช้ำคล้ายน้ำ
ร้อนลวก แผลบุ๋มยุบตัวลงกว่าระดับผิวปกติ
2.2 การป้องกันกำจัด ควรตัดแต่งแปลงให้โปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก และฉีดพ่นสารเคมี
Carbendazim (ไปซิม 50% wp) หรือ benom-yl (เบนเลท-โอดี) สัปดาห์ละครั้ง
3. แมลงที่สำคัญ
อาจพบหนอนหรือแมลง ศัตรูกัดกินกลีบประดับให้เสียหายอยู่บ้าง แต่ยังไม่พบการระบาดที่เสียหาย
รุนแรง แต่ควรมีการฉีดพ่นสารเคมีป้องกันไว้บ้างเช่น Carbaryl (เซฟวิน - 85 wp) 15 วัน/ ครั้ง
การเก็บเกี่ยว การตัดดอก
การตัดดอกหงส์เหิน ควรพิจารณาดอกที่บานเต็มที่ แต่ไม่แก่เกินไป คือ กลีบประดับบานถึงปลายช่อมีดอกจริงบาน 3-5 ดอกต่อช่อ มีสีสดไม่เหี่ยวโรย โดยการใช้กรรไกรตัดต้นเหนือผิวดิน สูงประมาณ 2 นิ้ว แต่งใบออกเหลือใบบนไว้ใบเดียว รวมกันแล้วมัดเป็นกำๆ ละ 10 ดอก นำก้านช่อดอกแช่น้ำ นำไว้ในที่ร่ม รอการจำหน่ายหรือใช้ประโยชน์ต่อไป
การบรรจุหีบห่อ
ถ้าต้องส่งไปไกลๆ ควรนำดอกผึ่งในที่ร่มให้แห้ง บรรจุในกล่องที่บุด้วยพลาสติกวางช่อดอกตามแนวนอน เรียงสลับหัวท้ายให้เป็นระเบียบพร้อมปิดฝาให้มิดชิด
งานวิจัย
สถานีทดลองพืชสวนดอยมูเซอ สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร มีแนวความคิดว่า ควรจะมีการพัฒนาไม้ดอกพื้นเมืองของไทย ซึ่งมีอยู่มากมาย สวยงามเป็นที่นิยมของต่างประเทศ รองจากล้วยไม้ คือกลุ่มพืชสกุลขิง - ข่า ของไทย เช่น กระเจียว ปทุมมา และหงส์เหิน นี้ ให้เป็นไม้ตัดดอก
เศรษฐกิจที่สำคัญเพิ่มขึ้น ประกอบกับหงส์เหินสามารถพัฒนาเป็นไม้กระถางได้ เพราะแตกหน่อดี ทำให้ได้จำนวนดอกมาก กอมาก (โดยเฉลี่ย 5-10 หน่อ/กอ) นอกจากนี้หงส์เหินยังมีคุณสมบัติเป็นไม้ตัดดอกที่ดี เพราะช่อดอกโค้งยาว ก้านช่อดอกยาวพอเหมาะ มีอายุการปักแจกันนาน 1-3 สัปดาห์ หรือจะทำเป็นไม้ประดับโดยปลูกเป็นแปลงหรือปลูกใส่กระถางประดับก็ได้สถานีทดลองพืชสวนดอยมูเซอจึงได้มีการรวบรวมและศึกษาพันธุ์เพื่อพัฒนาเป็นไม้ตัดดอกเศรษฐกิจ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2544 ในการประชุมวิชาการพืชสวนแห่งชาติ ได้มีการนำเสนอผลงานวิจัยเกี่ยวกับหงส์เหินอยู่เรื่องหนึ่งคือ "การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหงส์เหินพันธุ์ม่วงเตี้ย" ของคณาจารย์ สถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรลำปาง สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล
ประกอบด้วย พิทักษ์ พุทธวรชัยพงศ์ยุทธ นวลบุญเรือง และอภิชาติ ชิดบุรี โดยคณะผู้วิจัยได้ทดลองนำหน่อหงส์เหินพันธุ์ม่วงเตี้ย (G.Villosula Gagnap) ที่โผล่พ้นดินยาวประมาณ 1 นิ้ว แกะเอาส่วนกาบใบออกจนเหลือยอด ที่มีขนาด 0.5 ซม. นำไปเพาะเลี้ยงบนอาหารสูตรต่างๆ พบว่าความสูงเฉลี่ยของต้นหงส์เหินจำนวนใบเฉลี่ย และจำนวนรากเฉลี่ยมีความแตกต่างกัน
หากการขยายพันธุ์หงส์เหินด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อประสบความสำเร็จ ก็จะสามารถขยายพันธุ์หงส์เหินได้อย่างรวดเร็ว ขึ้นและสามารถทำได้ตลอดปี เป็นแนวทางหนึ่งที่จะสนับสนุนการพัฒนาให้หงส์เหินเป็นไม้ตัดดอกเศรษฐกิจได้ นอกเหนือจากการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ "บ้านอะลาง"