ลักษณะพิเศษ
ขจรเป็นพันธุ์ไม้วงศ์เดียวกับโมก และยี่โถ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อน พบมากในภาคกลางขึ้นไปจนถึงภาคเหนือ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับและใช้ประโยชน์จากดอกและผล ดอกออกดกในฤดูฝน มีลักษณะเป็นช่อ สีเหลือง ช่อละ 10-20 ดอก ขนาดดอกประมาณ 5-8 เซนติเมตร ด้านช่อดอกยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ดอกย่อยมีใบประดับเส้นเล็กๆ ยาวประมาณ 2-2.5 มิลลิเมตร 1 คู่ ลักษณะของใบ เป็น สีเขียวอ่อน คล้ายรูปหัวใจ ใบโพ หรือคล้ายใบพลู ขอบใบจะเรียบเกลี้ยงไม่มีหยัก จะเห็นเส้นใบชัด หน้าใบเป็นคลื่นเล็ก ลักษณะของลำต้น เป็นไม้เลื้อยเถา มีเนื้อไม้ ไม่มีมือเกาะเปลือกมีลักษณะเรียบ ลักษณะผลและเมล็ด ผลมีลักษณะรูปยาวรี โค้งเล็กน้อย กว้างประมาณ 1.5 -2.5 เซนติเมตร
ยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร เมล็ดมีขนาดเล็กแบน มีเส้นขนคล้ายไหมสีขาว เป็นพู่ที่ขั้วเมล็ด ช่วยพยุงเมล็ดให้ลอยตามลม ปัจจุบันประชากรนิยมปลูกขจร เพราะดอกมีกลิ่นหอม ดอกกับผลสามารถนำไปรับประทานเป็นผักจิ้มและเครื่องเคียงอาหารประเภทแกง และยำ ราคาค่อนข้างแพง Alangcity
ชื่อพื้นเมือง : ขจร
ชื่ออื่น : สลิด
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Telosma minor Craib
ชื่อวงศ์ : ASCLEPIADACEAE
ชื่อสามัญ : Milkweed Family
ลักษณะวิสัย : ไม้เลื้อย
การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ด ปักชำ
ประโยชน์ : ราก ใช้ผสมยาหยอดตา
ดอก นำไปประกอบอาหาร
ใบ ใช้ทำยาฆ่าแมลง , ใช้ทำกระดาษ (สูตรพิเศษของวชิราโปลี)
การปลูกและดูแลรักษา
ขจรเป็นไม้ที่ขึ้นได้ดีในดินทุกสภาพ แต่ถ้าจะให้ดีควรปลูกในดินร่วนปนทราย หรือดินที่มี
ความร่วนซุยมากๆ ขจรเป็นไม้ที่ชอบแดดจัดไม่ต้องการน้ำมากนัก และทนต่อสภาพความ
แห้งแล้งได้ดี ดังนั้นการรดน้ำให้รด 2 วันต่อครั้ง
สรรพคุณทางยา
ยอดอ่อน ดอก ลูกอ่อน บำรุงธาตุ บำรุงตับ ปอด แก้เสมหะเป็นพิษ ราก ทำให้อาเจียน ถอน
พิษเบื่อเมา
ประโยชน์ทางอาหาร
ยอดอ่อน ดอก ผลอ่อน รับประทานสดหรือลวกให้สุกรับประทานร่วมกับน้ำพริก ดอกนำไป
ปรุงอาหาร เช่น ผัด แกงจืด แกงส้ม
ส่วนที่ใช้เป็นอาหาร
ยอดอ่อน ดอกตูมและบาน ผลอ่อน
ยอดอ่อนและดอกขจรในปริมาณ 100 กรัม มีวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ คือวิตามินเอ มากถึง
3,150 I.U. วิตามินซี 45 มิลลิกรัม แคลเซียม 70 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 90
มิลลิกรัม
ขจรพืชพื้นบ้านไม่ควรมองข้าม ปลูกพื้นที่1ไร่รายได้วันละ3พัน
จากเดิมที่ บุญทัน วงศ์โพธิ์ หนุ่มใหญ่วัย 45 ปี ใช้พื้นที่กว่า 15 ไร่ ปลูกมันสำปะหลังและทำนาข้าวที่บ้านหม้อ ต.คูคำ อ.ซำสูง จ.ขอนแก่น แต่ชีวิตอยู่อย่างลุ่มๆ ดอนๆ มีกินมีใช้ไปวันๆ แต่หลังจากที่หันมาปลูก "ขจร" หรือสลิดขายดอก ได้เพียง 2 ปี ฐานะความเป็นอยู่พลิกราวฟ้ากับดิน เพราะรายได้จากการขายดอกขจรหรือดอกสลิดนั้น ตกวันละ 3,000 บาท เช่นเดียวกับ หนูอาจ เฝ้าหอม เกษตรกรวัย 56 ปี เพิ่งปลูกขจรในพื้นที่ 1 ไร่เช่นกัน ในช่วงที่ขจรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ก็ปลูกกวางตุ้งใต้ห้างแปลงขจร ทำให้มีรายวันละ 3,500 บาท
บุญทัน บอกว่า ก่อนที่จะยึดอาชีพปลูกขจรเพื่อเก็บดอกขายนั้น เคยทำไร่มันสำปะหลังมาก่อนในพื้นที่ 10 ไร่ และทำนาข้าวไว้กินเองอีก 5 ไร่ แต่รายได้ไม่ค่อยเพียงพอ เนื่องจากราคาผลผลิตมันสำปะหลังตกต่ำมาตลอด พอดีเห็นเพื่อนที่อยู่ต่างอำเภอ ปลูกขจรหรือสลิดเพื่อขายดอก มีรายได้ดี จึงปรึกษาหารือกันและเรียนรู้ในการปลูกและดูแลต้นจขร จากนั้นตัดสินใจสร้างห้างทำด้วยไม้ไผ่สูงกว่า 1 เมตร ขนาดกว้างของห้างราว 1 เมตร แล้วไปซื้อต้นกล้าขจรพันธุ์ดอกจากภาคกลางจำนวน 400 ต้นในราคาต้นละ 50 บาท เมื่อ 2 ปีก่อน
หลังจากที่ปลุกขจรได้ 3 เดือน ขจรเริ่มออกดอกเก็บได้วันละ 10-20 กิโลกรัม นำไปขายเองในเมืองขอนแก่นในราคากิโลกรัมละ 100 บาท พอขจรมีอายุ 6 เดือนซึ่งให้ดอกเต็มที่สามารถเก็บดอกขายได้วันละ 40-50 กิโลกรัมขายส่งให้พ่อค้าในตลาดบางลำภู เทศบาลนครขอนแก่นในราคากิโลกรัมละ 60-70 บาท พ่อค้าที่รับซื้อขายต่อในราคากิโลกรัมละ 100 บาท นอกจากนี้ยังมีการขยายต้นกล้าขจรขายอีกด้วย และขณะนี้กำลังจะขยายพื้นที่ปลูกอีก 2 งาน
"การปลูกขจรเพื่อขายดอกนั้นรายได้ดีมาก แต่ต้องมีเงินในการลงทุนครั้งแรกที่ต้องลงทุนสร้างห้างเพื่อให้ขจรเลื้อย และค่าต้นกล้าซึ่งตอนนี้ราคายังสูงอยู่ ซึ่งต้องลงทุนหลายหมื่นบาท แต่พอปลูกแล้วแต่ละรุ่นเราสามารถเก็บดอกขายได้ทุกวันนานถึง 4 ปี ผมยังมีที่อีกหลายไร่จะขยายไม่ได้เพราะไม่มีคนดูแล เพราะการปลูกขจรต้องดูแลรดน้ำทุกวันหรือวันเว้นวันกรณีฝนไม่ตก การเก็บดอกต้องเก็บทุกวันแบ่งกันเป็น 3 ล็อก วันแรกเก็บล็อกที่ 1 พอวันรุ่งขึ้นเก็บล็อกที่ 2 แล้ววันถัดก็เก็บล็อกที่ 3 หมดแล้วย้อนกลับล็อกที่ 1 อีก" บุณทัน กล่าว
ด้าน หนูอาจ เฝ้าหอม ซึ่งปลูกขจรอยู่ใกล้กัน บอกว่า เห็นบุญทัน ปลูกขจรมีรายได้ดี แต่ช่วงแรกมีปัญหาตรงที่ไม่สามารถหาต้นกล้าได้ จนบุญทัน ยอมขายต้นกล้าจึงซื้อต้นกล้ามา 260 ต้น พร้อมขยายพันธุ์ต้นกล้าเองด้วย ปลูกในพื้นที่ 1 ไร่ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา พอปลูกได้ 3 เดือนขจรเริ่มให้ผลผลิตเก็บดอกขายได้แล้ว ตอนนี้สามารถเก็บได้วันละเฉลี่ย 30 กิโลกรัม มีพ่อค้ามาซื้อในราคากิโลกรัมละ 70 บาท
"ตอนที่ปลูกขจรใหม่ๆ ซึ่งขจรยังไม่ออกดอก ป้าเอากวางตุ้งมาปลูกใต้ห้างของแปลงขจร เพราะต้นขจรยังเล็กยังไม่มีรายได้ ตอนต้นขจรยังโตไม่เต็มที่ หรือไม่เต็มห้าง ป้าก็ยังปลูกกวางตุ้งอยู่ ทำให้มีรายได้ 2 ทาง คือในส่วนของขจรจะขายได้วันละ 2,000 บาท ส่วนกวางตุ้งได้ราว 1,500 บาท" หนูอาจ กล่าว
สำหรับการปลูกของหนูอาจ จะใช้ปุ๋ยคอกและปุ๋ยอินทรีย์เท่านั้น เพื่อประหยัดต้น และเป็นการผลิตพืชผักปลอดสารพิษตามนโยบายของนายอำเภอซำสูง ที่จะให้อำเภอซำสูงเป็นแหล่งผลิตพืชผักปลอดสารพิษป้อนตลาด โดยให้แปลงปลูกขจรทั้งสองแปลงเป็นศูนย์เรียนด้านการเกษตรบ้านหม้อ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการเเศรษฐกิจพอเพียงของอำเภอบ้านหม้อนั่นเอง
ขจรนับเป็นพืชผักพื้นบ้านชนิดที่น่าจะจัดเป็นพืชผักเศรษฐกิจตัวใหม่อีกชนิดหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากสร้างรายให้แก่เกษตรกรอย่างเป็นกอบเป็นกำ ขนาดปลูกในพื้นที่ 1 ไร่มีรายได้ถึงเดือนละ 9 หมื่นบาท ขณะที่ตลาดยังต้องการอีกมาก