เทคนิคการเลี้ยงกุ้งกุลาดำปลอดสารพิษ
ธุรกิจการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนในหลายสาขาอาชีพ เนื่องจากเศรษฐกิจภายในประเทศถดถอยมาตั้งแต่ พ.ศ.2540 ทำให้ธุรกิจหลาย ๆ ด้านต่างประสบปัญหาการขาดทุน แต่ในทางตรงกันข้ามกุ้งกุลาดำเป็นสัตว์เศรษฐกิจชนิดเดียวที่ได้รับความสนใจเนื่องจากเป็นอาชีพที่ยังสามารถทำกำไรและสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบกิจการสูงมาก บ้านอะลาง
โดยเฉพาะในขณะนี้พืชผลการเกษตรอื่น ๆ ต่างประสบปัญหาราคาตกต่ำอย่างรุนแรงในขณะที่ กุ้งกุลาดำราคากลับสูงขึ้นมากเนื่องผลผลิตจากประเทศอื่น ๆ ลดลง เกษตรกรบางรายอาจมีปัญหาเลี้ยงแล้วเกิดการขาดทุนเนื่องจากการดูแลจัดการฟาร์มกุ้งไม่ดีเท่าที่ควร การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ การใช้ยา การใช้ปูน เหล่านี้เป็นปัญหาที่เกษตรกรควรหันมาศึกษาการเลี้ยงกุ้งกุลาดำแบบปลอดสารพิษอย่างจริงจัง และในอนาคตคาดว่าการแข่งขันน่าจะเข้มข้นสูงถ้ารัฐบาลของแต่ละประเทศที่เลี้ยงกุ้งทะเลต่างสนับสนุนธุรกิจและอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งอย่างจริงจังเมื่อผลผลิตในแต่ละประเทศออกมามากจะมีผลต่อราคากุ้งอย่างแน่นอน ประเทศใดมีต้นทุนในการผลิตสูงจะได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า ในปัจจุบันนี้แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นผู้นำด้านการผลิตและส่งออกกุ้งทะเลแช่เยือกแข็งมากที่สุดตั้งแต่ปี พ.ศ.2534 เป็นต้นมา ติดต่อกันมานานหลายปีแต่ในช่วงหลัง ๆ มาการส่งออกกุ้งกุลาดำของไทยเริ่มซบเซา ตลาดต่างประเทศไม่ยอมรับกุ้งของไทย เพราะว่ามีสารพิษตกค้างในปริมาณที่เกินกำหนดการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่รัฐบาลควรจะช่วยส่งเสริม บ้านอะลาง
1. ลดต้นทุนในการผลิต โดยใช้ความรู้และวิชาการต่าง ๆ มาพัฒนาการเลี้ยงให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศ ในอนาคต ลดการใช้ยาเคมีต่าง ๆ หันมาใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม และผลกระทบระยะยาวในการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ
2. พัฒนาระบบการเลี้ยงกุ้งกุลาดำที่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เพราะทางประเทศทางสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาจะใช้เป็นข้ออ้างที่จะกีดกันทางการค้า โดยอ้างว่ามีผลกระทบสิ่งแวดล้อม
3. การผลิตกุ้งกุลาดำมีคุณภาพดี ปลอดสารพิษ ไม่ใช้ยาฆ่าเชื้อ กำหนดมาตรฐานคุณภาพสินค้า ตั้งแต่การเลี้ยงในฟาร์มกระทั่งจับขายและขั้นตอนต่าง ๆ ในโรงงานที่ผลิตสินค้าเพื่อให้แน่ใจว่ามีคุณภาพดีปลอดภัยต่อผู้บริโภคของ
ผู้เลี้ยงต้องทำการศึกษาและทำความเข้าใจ ในเรื่องการเลี้ยงกุ้งปลอดสารพิษ
2. เตรียมอาหารธรรมชาติก่อนปล่อยลูกกุ้ง ควรมีการเตรียมน้ำก่อนปล่อยลูกกุ้งให้มีอาหารธรรมชาติและ ปริมาณแพลงก์ตอนพืชแพลงค์ตอนสัตว์ที่เหมาะสม ลูกกุ้งจะมีอัตรารอดสูงขึ้นแข็งแรงและการเจริญเติบดี ประหยัดอาหารเม็ดสำเร็จรูปได้เยอะแยะ ช่วยลดต้นทุนได้

4. มีการจัดการที่เหมาะสม การจัดการในด้านคุณภาพน้ำ แพลงก์ตอน การให้ออกซิเจน และการจัดการพื้นบ่อ ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะและเคมีภัณฑ์ต่าง ๆ เลี้ยงแบบปลอดสารพิษ เลี้ยงระบบปิด โดยใช้ความเค็มต่ำโดยใช้น้ำที่มีความเค็มสูง 100-250 พีพีที จากการนำเกลือมาผสมกับน้ำจืดจนได้ความเค็มไม่เกิน 10 พีพีทีแล้ว ปล่อยลูกกุ้ง และเติมน้ำจืดในระหว่างการเลี้ยงความเค็มของน้ำจะค่อย ๆ ลดลงจนกระทั่งจับขาย พบว่าการเลี้ยงวิธีดังกล่าวข้างต้นจะมีปัญหาเรื่องโรคต่าง ๆ น้อยกว่าในพื้นที่ที่อยู่ริมชายฝั่งทะเล
การใช้อากาศ หากผู้เลี้ยงกุ้งกุลาดำปล่อยกุ้งไม่หนาแน่นเกินไปจากที่เห็นผู้เลี้ยงกุ้งวางใบพัดให้ออกซิเจนในบ่อแล้วจะไม่มีปัญหาเรื่องออกซิเจนในบ่อไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรกุ้ง แต่ถ้าหากผู้เลี้ยงกุ้งบางรายยังยึดติดกับการเลี้ยงกุ้งแบบเก่าก่อนคือปล่อยกุ้งเผื่อตายอยู่เลี้ยงกุ้งหนาแน่นเกินไป ระบบการให้อากา ศไม่ดี ก็จะทำให้กุ้งขาดออกซิเจน กุ้งเครียด และผลอื่น ๆ จะตามมา การใช้เครื่องให้อากาศแบบใบพัดใต้น้ำเพื่อรวมเลนซึ่งใช้พลังงานต่ำกว่าและรวมเลนได้ดีกว่าเครื่องตีน้ำทั่ว ๆ ไปนอกจากนั้น อาจจะมีการใช้ซุปเปอร์ชาร์จหรือเครื่องอัดอากาศตามสายยางที่เดินไปทั่วบริเวณบ่อเสริมบางส่วน เพื่อลดต้นทุนในด้านพลังงาน และในกรณีที่มีกุ้งหนาแน่นมาก การเสริมซุปเปอร์ชาร์จตอนกลางคืนถึงเช้ามืดซึ่งเป็นช่วงที่มีการใช้ออกซิเจนสูงมากในบ่อกุ้งจะสามารถป้องกันการลดลงของออกซิเจนได้มาก จะทำให้การเจริญเติบโตของกุ้งเป็นปกติผลผลิจะดีตามขึ้นด้วย จุดประสงค์หลักของการใช้เครื่องให้อากาศเพื่อเพิ่มออกซิเจนและรวมตะกอนต่าง ๆ เข้ากลางบ่อทำให้มีพื้นที่สะอา ดสำหรับกุ้งอาศัยเพิ่มมากขึ้น บ้านอะลาง
การควบคุมปริมาณแพลงก์ตอน

การควบคุมพีเอช , อัลคาไลน์
จากข้อมูลการเลี้ยงกุ้งในพื้นที่ต่าง ๆ พอจะสรุปได้ชัดเจนว่า ถ้า พีเอช ต่ำหรือสูงเกินไป จะมีผลต่อการเจริญ เติบโต นอกจากนั้นปริมาณอัลคาไลน์ที่ต่ำและสูงเกินไป ยังมีผลต่ออัตรารอดและการเติบโตของกุ้งด้วย พีเอช ที่เหมาะสมในตอนเช้าประมาณ 7.5-8.0 พีเอชในตอนบ่ายไม่ควรจะสูงเกินกว่าตอนเช้ามากนักไม่ควร เกิน 0.8 ค่าที่แตกต่างเกิน 0.5 แต่ไม่ถึง 1.0 ถ้าเป็นการเลี้ยงกุ้งระบบความเค็มต่ำก็ไม่มีปัญหาอะไรมากนัก
พีเอช ของน้ำในกรณีที่ พีเอช ตอนเช้าต่ำกว่า 7.5 ถ้าเป็นบ่อที่เพิ่งปล่อยลูกกุ้งและมีน้ำใสอาหารธรรมชาติจะมี น้อยกุ้งจะโตช้า อัตรารอดอาจจะต่ำ ควรที่จะเติมวัสดุปูน เช่น ถ้า พีเอช ของน้ำตอนเช้า 7.2 อาจจะเติมโดไลไมท์ 20-25 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อช่วยสร้างสีน้ำให้เขียวขึ้น ไม่ควรปล่อยให้ พีเอช ในตอนเช้าต่ำกว่า 7.5 สำหรับบ่อที่กุ้งยังมีขนาดเล็ก บ่อที่กุ้งมีอายุมากขึ้น พีเอช ตอนเช้าควรอยู่ระหว่าง 7.5-7.8 พีเอช ของน้ำสูงมาก คือ ตอนเช้าเกิน 8.3 ควรลด พีเอช ลงมา โดยใช้สารที่เป็นกรด ลด พีเอช ทีละน้อยเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลง พีเอช ภายใน บ่ออย่างรวดเร็วทำให้กุ้งช็อค หรือหยุดการกินอาหาร พีเอช ของน้ำตอนเช้าไม่เกิน 8.0 ถ้าอัลคาไลน์ต่ำไม่เกิน 50 พีพีเอ็ม พีเอช ตอนเช้าต้องไม่ต่ำกว่า 7.5 ถ้าปล่อยลูกกุ้งในบ่อที่น้ำมี พีเอช ต่ำกว่า 7.5 และอัลคาไลน์ต่ำกว่า 50 ลูกกุ้งจะลอกคราบไม่ออก อัตรารอดจะต่ำมาก ตอนเช้าจะช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ส่วนอัลคาไลน์จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในเวลาต่อมาเมื่อหอยเจดีย์โตเต็มที่ อัลคาไลน์สูงมากเช่น 180-250 พีพีเอ็ม และ พีเอช ของน้ำตอนเช้าเกิน 8.3 จะพบว่าเปลือกกุ้งมีตะกรัน กุ้งเปลือกสากไม่ลอกคราบ การกินอาหารลดลง กุ้งมุดเลน เหงือกดำ ส่งผลให้กุ้งโตช้ามาก การแก้ไขต้องลดพีเอชลงมาให้ตอนเช้าไม่เกิน 8.0
การจัดการพื้นบ่อให้สะอาด
พื้นบ่อเป็นแหล่งที่กุ้งอาศัยหากิน การจัดการพื้นบ่อให้สะอาดเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้กุ้งเจริญเติบโตได้ดี การวางใบพัดหรือเครื่องให้อากาศที่ดีให้ของเสียต่าง ๆ ไปกองรวมกันอยู่ที่บริเวณกลางบ่อ ทำให้ของเสียในพื้นบ่อมีจำนวนน้อยโดยการใช้จุลินทรีย์บาซิลลัส ซับติลิสลงไปย่อยของเสียที่ก้นบ่อให้มีปริมาณน้อย ใช้สเม็คไทต์ หรือไคน็อพติโลไลท์หว่านควบคู่กับจุลินทรีย์ เพื่อจับก๊าซต่าง ๆ ในบ่อ บวกกับวางระบบให้อากาศที่ดี พื้นบ่อก็จะสะอาด กุ้งไม่เครียด กินอาหารได้มาก การเจริญเติบโตดี ในทางกลับกันถ้าวางใบพัดตีน้ำไม่ดี ของเสียมีเต็มพื้นบ่อ ไม่มีการย่อยของเสียด้วยจุลินทรีย์ ก๊าซต่าง ๆ ในบ่อมีจำนวนมาก กุ้งไม่มีที่อาศัย ไม่มีอาหารให้กุ้งกิน เพราะให้อาหารเม็ดลงไปก็ตกลงไปจมเลนหมด กุ้งจะลงไปกินก็เจอแต่ก๊าซต่าง ๆ ซึ่งถ้าสถานการณ์เป็นเช่นนี้อาจทำให้ผู้เลี้ยงต้องจับกุ้งก่อนกำหนด ประสบกับภาวะขาดทุน