การปลูกสับปะรด



สับปะรด ต้องการอากาศค่อนข้างร้อนอุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 23.9-29.4 องศาเซลเซียส  ปริมาณน้ำฝนที่ต้องการอยู่ในช่วง 1,000-1,500 มิลลิเมตรต่อปี  แต่ต้องตกกระจายสม่ำเสมอตลอดปี และมีความชื้นในอากาศสูง "บ้านอะลาง"

สับปะรดขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด  ที่ระบายน้ำดี  แต่ชอบดินร่วน  ดินร่วนปนทรายดินปนลูกรัง  ดินทรายชายทะเล และชอบที่ลาดเท  เช่น  ที่ลาดเชิงเขา  สภาพความเป็นกรด-ด่าง ของดินควรเป็นกรดเล็กน้อย คือ ตั้งแต่ 4.5-5.5 แต่ไม่เกิน 6.0

แหล่งปลูก   
แหล่งปลูกสับปะรดที่สำคัญของไทยอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่อยู่ใกล้ทะเลได้แก่  จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  เพชรบุรี  ชลบุรี  ระยอง  ฉะเชิงเทรา  จันทบุรี  ตราด และจังหวัดต่าง ๆ ในภาคใต้  เช่น  ภูเก็ต  พังงา  ชุมพร  ซึ่งนิยมปลูกในสวนยาง

ปัจจุบันมีการปลูกสับปะรดในจังหวัดต่าง ๆ  ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  บริเวณริมแม่น้ำโขง และอีกหลายจังหวัดในภาคเหนือ  การปลูกสับปะรดในพื้นที่ที่อยู่ไกลทะเลนี้  จะต้องคำนึงถึงความชื้นในอากาศเป็นสำคัญ  เพราะจะมีผลต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพของผลสับปะรด  ดังนั้น  ควรเลือกปลูกในบริเวณที่มีความชื้นในอากาศสูง  เช่น  ที่ราบระหว่างภูเขา  ที่ลาดเชิงเขา  บริเวณใกล้ป่าหรือแหล่งน้ำ


พันธุ์ที่ปลูกมากในประเทศไทย  
พันธุ์ที่ปลูกในประเทศไทยแบ่งออกได้เป็น 5 พันธุ์  โดยอตามลักษณะของต้นที่ได้ขนาดโตเต็มที่ และแข็งแรงสมบูรณ์เป็นบรรทัดฐานดังนี้คือ

1.  พันธุ์ปัตตาเวีย  
พันธุ์นี้รู้จักแพร่หลายในนามสับปะรดศรีราชา และชื่ออื่น ๆ  เช่น  ปราณบุรี, สามร้อยยอด  ปลูกกันมากเพื่อโรงงานอุตสาหกรรม  แหล่งปลูกที่สำคัญคือ ประจวบคีรีขันธ์ชลบุรี  เพชรบุรี  ลำปาง และการปลูกกันทั่ว ๆ ไป เพื่อขายผลสด เพราะมีรสหวานฉ่ำมี
น้ำมาก

ลักษณะทั่ว ๆ ไป  
คือ มีใบสีเขียวเข้ม และเป็นร่องตรงกลางผิวใบด้านบนเป็นมันเงา  ส่วนใต้ใบจะมีสีออกเทาเงิน  ตรงบริเวณกลางใบมักมีสีแดงอมน้ำตาล  ขอบใบเรียบมีหนามเล็กน้อยบริเวณปลายใบ  กลีบดอกสีม่วงอมน้ำเงิน  ผลมีขนาดและรูปทรงต่างกันไป  มีน้ำหนักผลอยู่ระหว่าง 2-6 กิโลกรัม  แต่โดยปกติทั่วไปประมาณ 2.5 กิโลกรัม  เปลือกผลเมื่อดิบสีเขียวคล้ำ  เมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้มทางด้านล่างของผลประมาณครึ่งผลก้านผลสั้นมีไส้ใหญ่เนื้อเหลืองอ่อนแต่จะเปลี่ยนเป็นสีเข้มในฤดูร้อน  รสชาติดี


2.  พันธุ์อินทรชิต  
เป็นพันธุ์พื้นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย  ปลูกกันกระจัดกระจายทั่วไป  แหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่จังหวัดฉะเชิงเทรา

ลักษณะทั่ว ๆ ไป  
คือขอบใบจะมีหนามแหลมร่างโค้งงอสีน้ำตาลอมแดง ใบสีเขียวอ่อนไม่เป็นมัน ขอบใบทั้ง 2 ข้างมีแถบสีแดงอมน้ำตาลตามแนวยาว ใต้ใบจะมีสีเขียวออกขาวและมีวาวออกสีน้ำเงินกลีบดอกสีม่วงเข้ม ผลมีขนาดเล็กกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย รสหวานอ่อน มีตะเกียงติดอยู่ ที่ก้านผล เปลือกผลเหนียวแน่นทนทานต่อการขนส่ง เหมาะสำหรับบริโภคสด


3. พันธุ์ขาว  
เป็นพันธุ์พื้นเมือง เกษตรนิยมปลูกพันธุ์นี้ร่วมกับพันธุ์อินทรชิต เข้าใจว่าจะกลายพันธุ์มาจากพันธุ์อินทรชิต แหล่งปลูกที่สำคัญคือ ฉะเชิงเทรา

ลักษณะทั่ว ๆ ไป     
มีใบสีเขียวอมเหลืองหรือเขียวใบไม้ ทรงพุ่มเตี้ยใบแคบและสั้นกว่าพันธุ์อินทรต  ขอบใบมีหนามโค้งงอเข้าสู่ปลายใบ  โคนกลีบดอกสีม่วงอ่อน  ปลายกลีบสีม่วงอมชมพูเนื้อผลสีเหลืองทอง  รสหวานอ่อน  ผลมักมีหลายจุก  คุณภาพของเนื้อไม่ค่อยดีนักผลมีขนาดปานกลาง  น้ำหนักเฉลี่ย 0.85 กิโลกรัม  มีลักษณะเป็นทรงกระบอก  มีตาลึกทำให้ผลฟ่ามง่าย


4.  พันธึภูเก็ตหรือสวี  
ปลูกกันมากในสวนยางจังหวัดภูเก็ต  ชุมพร  นครศรีธรรมราช และตราด  โดยปลูกระหว่างแถวยาวรุ่นที่ยังมีอายุน้อยเพื่อเก็บผลขายก่อนกรีดยาง  มีชื่ออื่น ๆ อีกเช่น  พันธุ์ชุมพร  พันธุ์สวี  พันธุ์ตราดสีทอง

ลักษณะทั่ว ๆ ไป  ใบสีเขียวอ่อนและมีแถบสีแดงในตอนกลางและปลายในขอบใบมีหนามสีแดงแคบและยาวกว่าพันธุ์อินทรชิตและ พันธุ์ขาวกลีบดอก สีม่วงอ่อน  ผลมีขนาดเล็กกว่าทุกพันธุ์ที่กล่าวมาตาลึกเปลือกหนา  เนื้อหวานกรอบสีเหลืองเข้ม  เยื่อใยน้อยมีกลิ่นหอม  เหมาะสำหรับบริโภคสด  เป็นที่นิยมมากในภาคใต้


5.  พันธุ์นางแลหรือน้ำผึ้ง  
ปลูกมากในจังหวัดเชียงราย

ลักษณะทั่ว ๆ ไป  
คล้ายคลึงกับพันธุ์ปัตตาเวีย  แต่มีรูปร่างของผลทรงกลมกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย  ตานูนเปลือกบางกว่าและรสหวานจัดกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย  ผลแก่มีเนื้อในสีเหลืองเข้ม  มีเยื่อใยน้อยเหมาะสำหรับบริโภคสด  เป็นที่นิยมมากในภาคเหนือ  ผลมีเปลือกบางมาก  ขนส่งทางไกลไม่ดีนัก


การเตรียมดิน  
เนื่องจากสับปะรดเป็นพืชหลายฤดูกว่าจะรื้อแปลงปลูกใหม่กินเวลานานถึง 4-5 ปี  ซึ่งจะเก็บผลได้ถึง 3 ครั้ง แต่การเก็บผลในรุ่นที่ 3  มักจะลดลงอย่างมากถ้าหากมีการปฏิบัติดูแลรักษาไม่เพียงพอ  จึงนิยมเก็บผลเพียง  2 ครั้ง  ก็รื้อแปลงเพื่อปลูกใหม่


-ดังนั้นการเตรียมดินต้องเตรียมอย่างดี  การปรับระดับให้เรียบเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะจะทำให้ไม่มีน้ำท่วมขัง การไถดินให้ลึกจะช่วยให้การระบายน้ำและอากาศในดินเป็นไปอย่างสะดวก  เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติทุกครั้งที่รื้อแปลงเพื่อปลูกใหม่


-การเตรียมดินสำหรับการปลูกสับปะรดนั้น หากเป็นที่เปิดใหม่มักใช้รถไถดันรากไม้ใหญ่ ๆให้โผล่ขึ้นมาแล้วจุดไฟเผา  ต่อจากนั้นไถดินให้ลึก 20-30 เซนติเมตร  ไถพรวนอีก2-3 ครั้ง  จนซากต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปล่อยทิ้งเอาไว้ระยะหนึ่ง เพื่อให้เศษซากพืชเน่าสลายในดิน  แล้วปรับระดับให้เรียบเสมอ  แล้วจึงไถดินให้ลึกถึงระดับ 40-50 เซนติเมตร  เป็นการเปิดหน้าดินให้ลึกเพื่อระบายน้ำและอากาศ


-หากดินเป็นแปลงสับปะรดเก่า ใช้รถแทรกเตอร์ลากพรวน จานไถกลับไปมาจนต้นและใบแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไถกลบเศษต้นและใบสับปะรดนั้นลงในดินปล่อยเอาไว้สัก ระยะหนึ่งเพื่อให้เน่าเปื่อยเป็นอินทรีย์วัตถุและเป็นการปรับโครงสร้างของ ดินให้ดีขึ้น  แล้วจึงไถดินให้ลึก 40-50 เซนติเมตร และใช้พรวนจานไถอีกครั้งเมื่อใกล้ระยะเวลาที่จะปลูก


ฤดูปลูกและวิธีปลูก
-ในประเทศไทยสามารถปลูกสับปะรดได้เกือบตลอดปี  ยกเว้นช่วงฝนตกหนักติดต่อหลายวัน  เพราะจะเกิดโรคเน่า  ควรเตรียมดินให้เสร็จในเดือนธันวาคม และปลูกในเดือนมกราคม-เมษายน  ซึ่งมีแสงแดดจ้าและไม่มีฝนชุก  แต่ดินยังมีความชุ่มชื้นเพียงพอแก่การเจริญเติบโตในระยะแรกอยู่

-การปลูกในฤดูฝนควรฝังหน่อให้เอียง 45 องศา  เพื่อป้องกันน้ำขังในยอด  ถ้าปลูกในฤดูแล้งฝังหน่อให้ตั้งตรง  หากมีเครื่องมือช่วยปลูกซึ่งเป็นเหล็กคล้ายมีดปลายแหลมช่วยเปิดหลุมจะทำให้สะดวกและรวดเร็วกว่าใช้จอบ  เฉลี่ยแล้วผู้ปลูก 1 คน  สามารถปลูกได้วันละ 5,000-7,000 หน่อ

-การปลูกส่วนใหญ่มักปลูกเป็นแถวคู่ฝังหน่อให้ลึก 15-20 เซนติเมตร ใช้ระยะปลูกแตกต่างกันไป  ตามวัตถุประสงค์

การควบคุมและกำจัดวัชพืช   
-ในปัจจุบันนิยมใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชมากกว่าใช้แรงคน  เพราะประหยัดและรวดเร็วกว่าหากทำการควบคุมวัชพืชได้ดี  สามารถเพิ่มผลผลิตได้มากกว่าเดิมถึง 1 ใน 4 เท่าตัวการใช้แรงงานคนกำจัดวัชพืชโดยถากด้วยจอบ  ต้องทำไม่ต่ำกว่า 8 ครั้งต่อ 1 ฤดูปลูกการใช้จอบจะรบกวนระบบรากของสับปะรดทำให้การเจริญเติบโตของต้นและคุณภาพของผลผลิตต่ำกว่า ใช้สารเคมี สารเคมีกำจัดวัชพืชที่นิยมใช้ในแปลงสับปะรด ได้แก่ ไดยูรอนเช่น  คาร์แมกซ์  ซึ่งเป็นสารเคมีคุมวัชพืชใบกว้างได้ผลดี  ใช้ฉีดพ่นก่อนวัชพืชจะงอกและโบรมาซิล  เช่น  โบรมิกซ์  ซึ่งเป็นสารเคมีฆ่าวัชพืชใบแคบได้ผลดีใช้ฉีดพ่นในแปลงสับปะรด  เมื่อมีวัชพืชงอกขึ้นมาแล้วหรือจะใช้ทั้ง 2 ชนิดผสมกันโดยใช้โบรมาซิล363 กรัม และไดยูรอน 363 กรัม ผสมน้ำฉีดพ่นในเนื้อที่ 1 ไร่ ฉีดทันทีหลังจากปลูกสับปะรดแล้ว สามารถควบคุมวัชพืชทั้งชนิดใบแคบและใบกว้างอื่น ๆ ได้นานถึง 4 เดือน


-ในแปลงสับปะรดที่ปลูกแซมในสวนยางพารา หรือสวนไม้ผลอื่น ๆ  ไม่แนะนำให้ใช้โบรมาซิล  เพราะถ้าใช้ซ้ำซาก จะเกิดการสะสมในดินโดยสารเคมีจะจับตัวกับเม็ดดิน  เมื่อน้ำพัดพาไปจะเกิดอันตรายกับพืชอื่น ๆ ได้  ให้ใช้อะทราซิน  เช่น  เกสาพริม หรืออะมีทริน  เช่น  เกสาแพกซ์ ผสมกับไดยูรอน แทน


-การใช้สารเคมีกำจัด วัชพืช  ควรผสมสารจับใบลงไปประมาณ 0.1-0.3% โดยริมาตรจะช่วยเพิ่มระสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น  อาจพ่นซ้ำอีก 1 ครั้ง  เมื่อพบว่าวัชพืชงอกขึ้นมาโดยพ่นหมดทั้งแปลง หรือเฉพาะจุดก็ได้


การควบคุมวัชพืชด้วยสารเคมี
ข้อควรระวัง
-ภายหลังจากการใช้สารเคมีเร่งดอกสับปะรดแล้วห้ามใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชจนกว่าจะเก็บ
ผลเสร็จสิ้น

ปุ๋ยสำหรับสับปะรด 
-ครั้งที่ 1  ก่อนปลูกใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอก 1 ตันผสมปุ๋ยหินฟอสเฟตสูตร 0-3-0อัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ โรยเป็นแถวหลังไถแปรตามแนวร่องปลูกเพื่อปรับปรุงดินสำหรับกระตุ้นการออกราก

-ครั้งที่ 2  หลังปลูก 1-2 เดือน หรือระยะเริ่มออกรากใส่ปุ๋ยสูตรที่มีสัดส่วนไนโตรเจนสูงเช่น  สูตร 21-0-0 หรือ 16-20-0 อัตรา 7-10 กรัมต่อต้น  ใส่ดินโคนต้นฝังหรือกลบปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกในขณะดินมีความชื้นเพียงพอ

-ครั้งที่ 3  หลังปลูก 4-6 เดือน  ใส่ปุ๋ยครบสูตรที่มีสัดส่วนโพแทสเซียมสูง 3:1:4เช่นสูตร 12-4-18+ธาตุอาหารเสริม, 15-5-20, 13-13-21 หรือสูตรใกล้เคียงซึ่งไนโตรเจนไม่ควรเกิน 15%  ป้องกันสารไนเตรทตกค้างอัตรา 10 กรัมต่อต้น  ใส่บริเวณกาบใบล่างในขณะกาบใบมีน้ำเพียงพอที่จะละลายปุ๋ย

-ครั้งที่ 4  ก่อนบังคับผล 1-2 เดือน  ให้ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมได้แก่แคลเซียม  โบรอน  โดยฉีดพ่นเข้าทางใบ

-ครั้งที่ 5  หลังบังคับผลประมาณ 3 เดือน  ใส่ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-6)หรือโพแทสเซียมซัลเฟต (0-0-50) อัตรา 7-10 กรัมต่อต้น  ใส่บริเวณกาบใบล่างในขณะกาบใบมีน้ำเพียงพอที่จะละลายปุ๋ย




ประโยชน์ของสับปะรด   
สับปะรดมีส่วนต่าง ๆ  ที่ใช้ประโยชน์ได้กว้างขวาง  ดังนี้

1.  เนื้อ    
ใช้รับประทานสดหรือแปรรูปเป็นสับปะรดแช่อิ่ม  สับปะรดกวน  สับปะรดแห้ง  แยมสับปะรด หรือ  บรรจุกระป๋อง และคั้นทำน้ำสับปะรด  ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือใช้เนื้อสับปะรดผสมกับปลาและเกลือหมักไว้ทำเป็นอาหารที่เรียกว่า "เค็มหมากนัด"


2.  ผลพลอยได้จากเศษเหลือ
เศษเหลือของสับปะรดส่วนใหญ่จากอุตสาหกรรมบรรจุกระป๋อง  สามารถนำมาแปรรูปทำ
อย่างอื่นได้  เช่น

2.1  น้ำเชื่อม
2.2  แอลกอฮอล์
2.3  น้ำส้มสายชู และไวน์
2.4  อาหารสำหรับเลี้ยงวัว
2.5  กรดอินทรีย์ 3 ชนิด คือ กรดซิตริก  กรดมาลิก และกรดแอสคอร์บิก


3.  ใบ   
3.1  เส้นใยจากใบสับปะรด  นำมาทอเป็นผ้าใยสับปะรด  ในฟิลิปปินส์เรียกว่า "ผ้าบารอง" ราคาแพง  นิยมตัดเป็นชุดสากลประจำของชาติฟิลิปปินส์และไต้หวัน

3.2  เยื่อกระดาษจากใยสับปะรด  จะได้กระดาษที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ความบางมาก  มีผิวนุ่มเนียน  สามารถบิดงอหรือเปลี่ยนรูปร่างได้ง่าย  โดยไม่เสียหาย  ในหลายประเทศใช้เป็นกระดาษสำหรับพิมพ์ธนบัตร


4.  เปลือก   
การใช้เปลือกสับปะรดเลี้ยงวัว
เศษเหลือทิ้งจากโรงงานสับปะรด คือ เปลือกและแกนกลางซึ่งจะมีน้ำอยู่สูงถึงร้อยละ 90เมื่อคิดต่อน้ำหนักสดส่วนเหลือทิ้งจะมีโปรตีนและโภชนะย่อยได้ทั้งหมดประมาณร้อยละ0.7 และ 7  เมื่อคิดต่อน้ำหนักแห้งจะมีค่าโปรตีนและโภชนะย่อยได้สูงถึงร้อยละ 7และ 70 ตามลำดับ