ไนเจอร์...ไม่ใช่ชื่อประเทศในทวีปแอฟริกา แต่เป็นชื่อพืชน้ำมัน ที่บรรดาผู้รักสุขภาพทั้งหลายอาจต้องบอกลาน้ำมันพืชเดิมๆ ที่เคยรู้จักกันมา
ด้วยอุดมไปด้วยกรดโอเลอิก โอเมก้า 3-6-9 ช่วยบำรุงสมอง-ปรับฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุล-เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และมีวิตามินอีสูง ช่วยบำรุงผิวพรรณสาวๆ... คุณสมบัติคล้ายคลึงน้ำมันเมล็ดชา ที่ขายกันลิตรละเป็นพันบาท กันเลยทีเดียว
ด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเยือนต่างประเทศ ทรงเห็นน้ำมันสกัดจากเมล็ดไนเจอร์วางจำหน่ายในราคาสูงมาก จึงมีพระราช ดำริให้ ศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมัน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ศึกษาความเป็นไปได้ที่จะนำมาปลูกในบ้านเรา เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร เนื่องจากพืชชนิดนี้ปลูกกันแพร่หลายในอินเดีย...ประเทศไทยก็น่าจะปลูกได้
ศูนย์วิจัยฯ จึงออกเสาะหาถึงได้รู้ บ้านเรามีปลูกมานานแล้ว ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่...ดอกไม้สีเหลืองคล้ายทานตะวันจิ๋ว ชาวบ้านเรียกขาน “ทานตะวันหนู” ที่แท้ชื่อดั้งเดิม “ไนเจอร์” นี่เอง
ปลูกโดยชนกลุ่มน้อยเผ่ามูเซอที่อพยพจากพม่า นำเมล็ดไนเจอร์พันธุ์อินเดียมาปลูกเพื่อสกัดเอาน้ำมันใช้บริโภคในครัวเรือนมาตั้งแต่รุ่นปู่ทวดโน้นแล้ว จนฝรั่งยุโรปและอเมริการู้ ได้ติดต่อขอซื้อเมล็ดไปขายต่างประเทศ...ปีๆ หนึ่งไม่ใช่น้อยเป็น 10 ตัน
แต่คนไทยไม่รู้...บ้านตัวเองมีของดีซ่อนอยู่
“ขณะนี้การวิจัยอยู่ในขั้นคัดเลือกพันธุ์ที่เหมาะสม ระหว่างไนเจอร์พันธุ์อินเดียกับเอธิโอเปีย พันธุ์ไหนจะให้ผลผลิตสูงเหมาะกับประเทศไทย เพื่อนำไปส่งเสริมให้กับเกษตรกรต่อไป ตอนนี้บอกได้เพียงเป็นพืชเหมาะที่จะปลูกในหน้าแล้งมาก ต้องการน้ำน้อย ให้น้ำแค่สัปดาห์ละครั้ง ปุ๋ยก็น้อยใช้ปุ๋ยคอกตอนเตรียมดินปลูกแค่ครั้งเดียว หว่านเม็ด 2 อาทิตย์เริ่มติดดอก อายุได้ 90-100 วัน ดอกเหี่ยวต้นแห้ง เก็บเกี่ยวทั้งต้นนำไปฟาดนวดเอาแต่เมล็ด”
นายสมชาย ไทยสมัคร นักวิชาการเกษตร ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย ให้ข้อมูล พื้นที่ 1 ไร่ จะได้เมล็ดประมาณ 70 กก. ในเบื้องต้น ศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมัน รับซื้อจากเกษตรกร กก.ละ 40 บาท เพื่อนำไปสกัดผลิตน้ำมันไนเจอร์ จำหน่ายภายใต้แบรนด์ “ภัทรพัฒน์” เป็นการทดลองตลาด ปรากฏว่าได้รับความนิยมจากผู้บริโภคสูง
ทั้งที่ราคาไม่เบา ขวด 250 ซีซี 150 บาท...ลิตรละ 600 บาท เท่านั้นเอง