การปลูกบวบหอม




ชื่อวงศ์ Cucurbitaceae
ชื่อสามัญ Smooth Loofah
ชื่อวิทยาศาสตร์ Luffa cylindrica (L.) M.Roem.

ลักษณะโดยทั่วไป
เป็นพืชเถาอายุสั้น มีมือจับเกาะช่วยพยุงลำต้น จึงนิยมทำค้างหรือร้านให้เลื้อยเช่าเช่นเดียวกับต้นมะระ บวบเป็นพืชที่ปลุกง่าย เจริญเติบโตเร็วสามารถเจริญเติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด ในดินควรมีความชื้นสม่ำเสมอ

พันธุ์ที่ใช้ปลูก
บวบที่ปลูกในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์พื้นเมือง เพาะปลูกกันมานานแล้วและมีการเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้เป็นช่อต่อๆกันไป บวบหอมเป็นพืชอีกชนิหนึ่งที่เราใช้บริโภคส่วนของผล นิยมรับประทานมากเช่นเดียวกับบวบเหลี่ยม นอกจากจะใช้ส่วนของผลสดแล้ว ผลบวบแห้งก็สามารถนำมาแกะเปลือกเอาเส้นใย นำมาใช้ล้างมือ ถูตัวเวลาอาบน้ำได้ เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียแถบร้อนเช่นในอินเดียและไทย บวบเขามีชื่อเสียงในเรื่องการเรียกน้ำนมแม่ลูกอ่อน ตำราอาหารสำหรับแม่ลูกอ่อนคลอดใหม่จะต้องมีแกงเลียงที่ต้องใส่บวบเป็นอาหาร แทบทุกวัน โบราณเชื่อว่าแกงเลียงบวบจะช่วยเรียกน้ำนมแม่ แม่ลูกอ่อนยุคเก่ามักจะต้องได้กินแกงเลียง แม่ลูกอ่อนยุคใหม่ถ้าที่บ้านสมัยใหม่ก็คงอด เพราะมักจะจัดตารางอาหารการดูแลสุขภาพแม่หลังคลอดเป็นสไตล์ฝรั่งมากกว่า

แต่ส่วนมากในชนบทก็ยังคงรักษาความเชื่อนี้อย่างเหนียวแน่น  เพราะผลบวบมีสรรพคุณในการขับน้ำนมจริง ผลบวบมีรสหวาน ชุ่มเย็น มีสรรพคุณแก้ร้อนใน ทางด้านการแพทย์จีนจัดบวบอยู่ในอาหารประเภทหยินหรือเย็น เหมาะสำหรับฤดูร้อนจะได้ช่วยขับความร้อนคลายความร้อนในร่างกาย ดับร้อนถอนพิษ แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยคลายความร้อนในหมู่วัยรุ่นใจร้อนได้ไหม และยังช่วยระบายท้อง  ขับลม ขับน้ำนม แก้เลือดออกตามทางเดินอาหาร แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ  ถ้าเราไม่ใช่แม่ลูกอ่อนต้องกินบวบเรียกน้ำนมแล้ว ก็ต้องเช็กดูตัวเองกันบ้างมีอาการร้อนใน มีลมจุกเสียด ระบบการขับถ่ายผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีต้องหาเมนูอาหารจากบวบมากิน

ส่วนที่นำมาใช้ของบวบหอม
- เมล็ดมีสาร Cucurbitacin B และ Saponin
- ในใบอ่อนและยอดอ่อน มีฤทธิ์ขับปัสสาวะและขับน้ำมนได้

วิธีทำบวบหอมเป็นยาฆ่าเหา
๑. หาบวบมา ๑ ผล
๒. แกะเปลือกออก
๓. ใช้น้ำในลุกบวบทาให้ทั่วศีรษะ ทาเปียกได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
๔. ทิ้งไว้จนแห้งจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ผลที่ได้รับคือ
- เป็นยาฆ่าเหา
- รักษาหนังศีรษะและบำรุงรากผม

สรรพคุณทางยาของบวบหอม
- ขับปัสสาวะ ขับน้ำนม
- น้ำคั้นจากผลเป็นยาระบาย
- ผลแก่นำมาเผาให้เป็นเถ้า ใช้เป็นยาขับพยาธิ ขับลม
- เมล็ดแก่เต็มที่ใช้เป็นยาถ่าย
- น้ำมันที่บีบจากเมล็ดใช้ทาผิวหนัง
- น้ำจากผลแก่ และเมล็ดแก่ใช้เป็นยาฆ่าเหา
- เมล็ดแก่นำมาผสมกับเหล้าขาวแก้โรคหืด-หอบ

การเตรียมดินแปลงปลูก และการปลูก
บวบหอมเป็นพืชที่มีระบบรากลึกปานกลาง ควรขุดไถดินลึกประมาณ 25-30เซนติเมตร ตากดินไว้ 5-7 วัน ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วให้มาก พรวนและย่อยดินให้ละเอียดยกร่องเป็นแปลง ระยะปลูกบวบหอมที่เหมาะสมคือ ระยะระหว่างต้น 75 เซนติเมตร และระยะระหว่างแถว 100 เซนติเมตร หลังจากเตรียมดินดีแล้วให้หยอดเมล็ดโดยตรงในแปลงหลุมละ 4-5เมล็ด ลึกลงไปในดินประมาณ 2-4 เซนติเมตร กลบด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกหรือดินละเอียดหนาประมาณ 1 เซนติเมตร รดน้ำให้ชุ่ม แล้วใช้ฟางหรือหญ้าแห้งคลุมบางๆเพื่อช่วยรักษาความชื้นของดิน หลังจากเมล็ดงอกขึ้นได้ประมาณ 15 วัน ให้ถอนแยกให้เหลือหลุมละ 3 ต้น เมื่อบวบหอมเริ่มเลื้อย ให้ทำค้างหรือร้านเพื่อให้เลื้อยไปเกาะ
การดูแลรักษา
ควรให้น้ำอย่างเพียงพอและสม่ำเสมออย่าแฉะเกินไป และอย่าให้ขาดน้ำช่วงออกดอกติดผล

การเก็บเกี่ยว
ถ้าต้องการเก็บเพื่อบริโภคหรือขายผลอ่อน ควรเก็บขณะผลยังอ่อนอยู่ แต่ถ้าต้องการเก็บเพื่อเอาเส้นใยต้องเก็บผลแก่ๆ โดยทั่วไปแล้วอายุเก็บเกี่ยวของบวบหอมประมาณ 50-60 วัน หลังจากหยอดเมล็ด


ปลากระสง


ชื่อไทย     กระสง, กะจน (ภาคอีสาน), ช่อนไซ (ภาคใต้)
ชื่อสามัญ   BLOTCHED SNAKE-HEAD FISH
ชื่อวิทยาศาสตร์   Channa lucius Fowler
ลักษณะทั่วไป ปลากระสงเป็นปลาน้ำจืดของไทย จัดอยู่ในประเภทเดียวกับปลาช่อน, ปลาช่อนงูเห่า, ปลาช่อนข้าหลวง, ปลาชะโด และ ปลาก้าง สามารถพบเห็นได้ทั่วไป รูปร่างกลมยาว ลักษณะคล้ายปลาชะโด ความยาวโดยทั่วไป 20-40 เซนติเมตร พื้นลำตัวด้านหลังมีสีน้ำตาล และจางลงจนเป็นสีเหลืองที่ด้านท้อง ข้างลำตัวมีจุดสีดำเรียงเป็นแถวคู่กันประมาณ 12 แถว ระหว่างแถวมีแถบสีขาวจางคดไปคดมา มีฟันแหลมคม 1-2 แนวบนเพดานปากแต่ละข้าง ครีบต่าง ๆ สีน้ำตาลดำ มีอวัยวะพิเศษเหนือบริเวณเหงือกช่วยในการหายใจ ปกติตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้

อุปนิสัย  ชอบอาศัยอยู่ตามลำพัง ปกติจะเคลื่อนตัวช้าอยู่ใกล้ผิวน้ำบริเวณชายฝั่งที่มีพืชน้ำ และค่อย ๆ โผล่ขึ้นฮุบอากาศเป็นครั้งคราวเพื่อเก็บไว้หายใจ

ถิ่นอาศัย  พบทั่วไปตามแม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง มีชุกชุมในภาคกลาง  อาหาร   ลูกปลา ลูกกุ้ง กบ เขียด และสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ ซึ่งมีชีวิต

ประโยชน์   เป็นอาหารและนิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้ เพราะมีสีสันสวยงาม


พบ'ปลากระสง'สีทอง
ชาวบ้านอยุธยาฮือฮา แห่ดูปลากระสง ปลาโบราณท้องถิ่นหายาก ไม่พบมากว่า 10 ปี ลักษณะคล้ายปลาช่อน มีสีเหลืองทองทั้งตัว เชื่อเป็นเรื่องสิริมงคล

25 เม.ย. 56  เมื่อเวลา 15.00 น.  ชาวบ้านตำบลสามเรือน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แตกตื่นเข้าดูปลากระสงสีทองเหลืองอร่าม ที่บ้านเลขที่ 7 หมู่ 5 ตำบลสามเรือน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของนางสาววันเพ็ญ สังข์หล่อ อายุ 59 ปี โดยปลากระสงเป็นปลาท้องถิ่นในประเทศไทย รูปร่างและสี คล้ายปลาช่อน ต่างกันที่หัวปลาช่อนจะมีรูปมน ส่วนหัวปลากระสงจะแหลมยาวกว่า คนทั่วไปไม่นิยมรับทานมากนัก เพราะว่าเนื้อแข็งและรสชาติไม่อร่อย เท่ากับเนื้อปลาช่อน

ทั้งนี้ปลากระสงสีทองที่พบตัวนี้น้ำหนักครึ่งกิโลกรัม ยาวประมาณ 1 ฟุต ลำตัวตั้งแต่หัวจรดห่าง รวมถึงครีบและเกล็ด สีทองเหลืองอร่ามไปทั้งตัว อย่างไรก็ตามปลากระสง เป็นปลาโบราณท้องถิ่น ที่หายไปจากคลองหนองบึง และท้องทุ่งในเขต จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นานเกือบ 10 ปี แล้วเช่นกัน โดยการพบปลากระสงที่หายากแบบนี้ถือเป็นเรื่องสิริมงคลเช่นกัน

นางสาววันเพ็ญ กล่าวว่า ตนปลูกบ้านอยู่ริมคลองโพธิ์ ยึดอาชีพทำสวนต้นโสนเพาะเห็นตับเตาปลอดสารพิษขาย และเป็นผู้ค้นพบปลากระสงที่สวยงามตัวนี้ จากการดักลอบในคลองหน้าบ้าน ซึ่งปลากระสงตนเองไม่พบเคยพบในแหล่งน้ำธรรมชาติมาเป็น 10 ปีแล้ว และคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว เพราะปลาพวกนี้จะอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไม่มีเคมีหรือสารพิษ จะอยู่ในแหล่งน้ำที่เป็นธรรมชาติที่สะอาดเท่านั้น ซึ่งช่วงตัวเองเป็นเด็กและวัยรุ่น เคยเห็นปลาแบบนี้มากเช่นกันในท้องทุ่ง แต่ก็เป็นปลาออกสีดำหรือเทาเหมือนปลาช่อน แต่ช่วงนี้หาพบได้ยาก ยิ่งมาพบเป็นสีแปลกทองเหลืองอร่ามทั้งตัวแบบนี้ เกิดมาตนเองและชาวบ้านหลายคนไม่เคยพบเห็นเช่นกัน อย่างไรก็ตามตนเองจะนำปลากระสงสีทอง ไปถวายให้พระอาจารย์แดง วัดป้อมรามัญ เลี้ยงเพื่อให้นักท่องเที่ยวชมความงดงามต่อไป

นายสวาท บุญแท้ ข้าราชการสังกัดสำนักงานประมงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ปลากระสงคล้ายปลาช่อนทั้งสีและขนาด แต่ปากจะแหลมกว่าเท่านั้น ส่วนเนื้อไม่อร่อยเท่าปลาช่อน เคยพบในแหล่งน้ำธรรมชาติ ช่วงนี้พบน้อยลง เพราะว่าความที่คนไม่นิยมรับประทาน เมื่อจับมาได้จะขว้างทิ้งให้ตาย ปลากระสงไม่มีการเพาะเลี้ยงในเชิงพาณิชย์เหมือนปลาช่อน ในท้องทุ่งนาก็พบเห็นน้อยแล้ว อย่างไรก็ตามปลากระสงที่พบเป็นสีทอง เชื่อว่ามาจากการผ่าเหล่าทางพันธุกรรมของปลากระสงเอง ซึ่งหาได้ยาก แต่ก็คงเหมือนการผ่าเหล่าของปลาไหลสีทอง ซึ่งชาวบ้านทั่วไปมักมองว่าการพบสัตว์ที่เป็นสีทอง จะเป็นสิริมงคล ซึ่งเป็นความเชื่อที่ห้ามกันไม่ได้ และเป็นความเชื่อในเชิงบวก คือจะได้อนุรักษ์ปลาจำพวกนี้ไว้ต่อไป

ดูเพิ่มเติม

ฝรั่งแดง ผลไม้มาแรงแห่งปี



“แดงบางกอก” ซึ่งเป็นฝรั่งสายพันธุ์ลูกผสมที่คุณดำรงศักดิ์ วิรยศิริ บ้านเลขที่ 90  หมู่ 4 ต.วังชมภู อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ 67210  ได้ทำการผสมพันธุ์ เริ่มต้นจาก ซื้อต้นฝรั่งเพาะเมล็ดที่มีความสูงของต้นประมาณ 1 เมตร เมื่อปี พ.ศ. 2519 ในงานไม้ดอกและไม้ประดับที่จัดขึ้นที่วังสวนผักกาด ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นที่ตั้งของสมาคมไม้ดอกไม้ประดับแห่งประเทศไทยในขณะนั้น ซื้อมาในราคาต้นละ 50 บาท ทราบว่าเป็นฝรั่งประดับที่นำมาจากประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อนำมาปลูกและให้ผลผลิตได้ฝรั่งที่มีผลขนาดเล็ก, เนื้อบางและมีจำนวนเมล็ดมาก

คุณดำรงศักดิ์ได้ทำการพัฒนาสายพันธุ์เรื่อยมาจนได้พันธุ์ “ทับทิมสยาม” ซึ่งเป็นลูกของต้นฝรั่งประดับจากประเทศฟิลิปปินส์ หลังจากนั้นได้นำพันธุ์ทับทิมแดงสยามเป็นต้นแม่มาผสมพันธุ์กับพันธุ์แป้นสีทองเป็นต้นพ่อ ลูกผสมออกมาได้ต้น, ใบ, ดอกและสีของผลจากต้นแม่คือสีแดงทั้งหมด บริเวณหลังใบมีสีแดงน้ำตาล, ส่วนของหน้าใบมีสีเขียวออกดำ ดอกมีสีแดงอมชมพูสวยงามมาก ลำต้นสีแดง ขณะที่ติดผลอ่อนสีของผลมีสีน้ำตาลดำและเมื่อผลแก่สีของผลจะจางลงเป็นสีน้ำตาลแดง ผลแก่มีลักษณะทรงผลคล้ายกับฝรั่งเวียดนาม เนื้อมีสีแดงรสชาติหวานและกรอบมีกลิ่นของฝรั่งขี้นกและจัดเป็นฝรั่งที่ให้ผลดกไม่แพ้สายพันธุ์อื่น

คุณดำรงศักดิ์ ย้ำว่าฝรั่งแดงถือว่าเป็นผมคนเดียวที่ทำ เพราะผมเป็นคนเริ่มต้น ถ้าเป็นฝรั่งสายพันธุ์ใบแดง ๆนั้น ก็มาจากผม ปัจจุบันได้ฝรั่งแดงลูกผสมพันธุ์ใหม่ล่าสุด คือ “ทับทิมสยาม” ซึ่งใช้เวลานานกว่า 30 ปี โดยใช้ฝรั่งแดงบางกอกเป็นแม่และใช้ฝรั่งพันธ์ุบางกอกแอปเปิ้ลเป็นพ่อ ทรงผล ออกกลม เนื้อมีสีแดง รสชาติหวานกรอบ อร่อยมาก ทับทิมสยามต้นใหม่ล่าสุด ผลมันใหญ่ขึ้น ผลมีขนาดใหญ่สุดถึง 1 กิโลกรัม เป็นต้นใหม่ล่าสุด ถือเป็นชื่อสุดท้ายคือ ผมใช้ชื่อฝรั่งทับทิมสยามเป็นแม่มาตลอด ซึ่งมันมีหลายเบอร์ เบอร์ก่อนหน้านี้ผลมันยังไม่ใหญ่มาก คือ กลาง ๆ แต่เบอร์ล่าสุดผลใหญ่สุดถึง 1 กิโลกรัม เนื้อกรอบ แข็ง, หนา รสชาติหวาน เนื้อละเอียด ไม่ฝาดเลย อร่อยมาก

เป้าหมายในอนาคตคุณดำรงศักดิ์มีความตั้งใจที่จะผสมพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะขนาดของผลใหญ่, เนื้อสีแดง, เนื้อกรอบและไม่มีเมล็ดเป็นสายพันธุ์เพื่อการบริโภคสดและจะต้องค้นหาวิธีการทำให้ติดผลดกเป็นที่สังเกตว่าพฤติ กรรมการบริโภคฝรั่งของคนไทยส่วนใหญ่จะนิยมบริโภคฝรั่งสดมากกว่าฝรั่งแปรรูป ซึ่งแตกต่างจากต่างประเทศที่นิยมบริโภคฝรั่งคั้นน้ำ มีงานศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับสายพันธุ์ฝรั่งคั้นน้ำในบ้านเราอยู่หลายเรื่องแต่ไม่แพร่หลายในหมู่เกษตรกรไทย เนื่องจากคนไทยคุ้นเคยในการบริโภคผลไม้สดมากกว่า ฝรั่งยังจัดเป็นผลไม้ที่มีการลงทุนค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับไม้ผลเศรษฐกิจชนิดอื่นใช้เนื้อที่ในการปลูกไม่มากนักและเป็นไม้ผลที่ให้ผลผลิตเร็ว ตลาดค่อนข้างกว้างคนทุกระดับนิยมบริโภค.

บทความโดย : ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ
สนใจพันธุ์ฝรั่งแดงติดต่อได้ที่  คุณดำรงศักดิ์ วิรยศิริ โทร.0-5677-1430

พายเบอรี่ (Pineberry)



พายเบอรี่ (Pineberry) สตรอเบอร์รี่สายพันธุ์ใหม่
โดยมีรูปทรงคล้ายผล สตรอเบอรี่ แต่แทนที่จะมีสีแดง กับมีสีขาว แต่ยังคงมีเมล็ดสีแดงสด แทรกอยู่บนผิวในช่วงแรกก่อนที่ผล พายเบอรี่ จะสุกพวกมันจะมีผิวสีเขียว เมื่อเริ่มสุกจะค่อยๆ กลายเป็นสีขาวขึ้นเรื่อยๆ   พาย เบอรี่มีรสชาด และกลิ่น เหมือน สับปะรด



พายเบอรี่   ไม่ใช่ผลไม้พันธุ์ใหม่ ในทางตรงกันข้าม พวกมันเป็นผลไม้ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์  ของทางอเมริกาเหนือ   พายเบอรี่มีให้กินอยู่เพียง เดือนกว่าในช่วงเดือน มีนาคม ถึง เมษายน ถิ่นกำเนิดของพายเบอร์รี่นั้น มาจากอเมริกาใต้ เริ่มนำมาขายในท้องตลาดชุมชนเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา โดยชาวนาเชื้อสายดัตช์ พายเบอร์รี่ถูกนำมาวางขายในซูเปอร์มาเก็ตเจ้าใหญ่ในประเทศอังกฤษ ข่าวระบุว่า พนักงานแบ่งขายกระจาดละ 125 กรัม สนนราคาอยู่ที่ 2.99 ปอนด์ (ราว 148 บาท)

ที่มา : www.dailymail.co.uk

ลูกพี้ช



พี้ช (peach) เป็นไม้ผลยืนต้นเขตหนาวชนิดผลัดใบ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prunus persica (L.) Batsch พืชในสกุลนี้ที่เป็นไม้ผลเขตหนาวที่สำคัญประกอบด้วย อัลมอนด์ [almond; P. dulcis (Mill.) D.A. Webb] พลัม (plum; P. salicina Lindl.) พลัมยุโรปหรือพรุน (prune; P. domestica) แอปริคอท (apricot; P. armeniaca L.) บ๊วย (Japanese apricot; P. mume Siebold & Zucc.) และ เชอรี่หวาน [sweet cherry; P. avium (L.) L.] ไม้ผลในสกุลนี้อยู่ในวงศ์กุหลาบ (Rosaceae) ซึ่งมีไม้ผลเขตหนาวที่สำคัญอีกหลายชนิด เช่น แอปเปิ้ล (apple; Malus domestica Borkh.) สาลี่เอเซีย [Asian pear; Pyrus pyrifolia (Burm.) Nak.] สาลี่ยุโรป (European pear; P. communis) เป็นต้น

พี้ชจัดว่าเป็นราชินีของไม้ผลเขตหนาว รองจากแอปเปิ้ล เนื่องจากได้รับความนิยมในการบริโภคจึงมีการปลูกอย่างแพร่หลายในเขตอบอุ่น (temperate zone) ทั้งในซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ ผู้ผลิตพี้ชที่สำคัญของโลกคือ จีน อิตาลี สหรัฐอเมริกา สเปน และ รัสเซีย พี้ชมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน ก่อนถูกนำแพร่พันธุ์ไปยังส่วนต่างๆ ของโลก โดยพี้ชถูกนำจากจีนไปสู่เปอร์เซียผ่านเส้นทางสายไหม จากนั้นชาวโรมันน่าจะเป็นผู้แพร่พันธุ์พี้ชไปยังแถบเมดิเตอร์เรเนียล ฝรั่งเศส จนถึงเกาะอังกฤษ ในยุคอาณานิคมสเปนได้นำพี้ชไปแพร่พันธุ์ในทวีปอเมริกาโดยเริ่มจากเม็กซิโกจนถึงฟลอริด้า ในขณะที่โปรตุเกสนำพี้ชไปแพร่พันธุ์ในทวีปอเมริกาตามชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาใต้ ปัจจุบันประเทศ

พี้ช ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของมูลนิธิโครงการหลวง จากการเสด็จประพาสต้นบนดอยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงทราบว่า ชาวเขาสามารถขายท้อพื้นเมืองได้เงินพอๆ กับฝิ่น และสามารถทำพี้ชพันธุ์ต่างประเทศที่มีผลใหญ่มาขยายพันธุ์บนต้นท้อพื้นเมืองได้ผลสำเร็จ ซึ่งน่าจะขายได้เงินมากขึ้นเนื่องจากเป็นผลไม้ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศในราคาสูง จึงได้พระราชทานทรัพฯ ส่วนพระองค์ฯ ให้ทำการวิจัย เพื่อหาพืชทดแทนฝิ่น

เนื่องจากพี้ชเป็นไม้ผลเขตหนาว จึงต้องการอุณหภูมิต่ำในช่วงฤดูหนาว (chilling requirement) และต้องมีระยะเวลายาวนานเพียงพอต่อการพ้นการพักตัว ความต้องการอุณหภูมิต่ำนี้ยังขึ้นอยู่กับพันธุ์พี้ชด้วย ดังนั้นการเลือกพื้นที่ปลูกและเลือกพันธุ์พี้ชจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก สำหรับพื้นที่สูงของประเทศไทยที่สามารถปลูกพี้ชได้ผลสำเร็จควรต้องมีอุณหภูมิในช่วงฤดูหนาวต่ำ โดยมีอุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย ไม่เกิน 12 oC เป็นระยะเวลา 50-60 วัน และพันธุ์พี้ชที่เลือกปลูกต้องเป็นพันธุ์ชนิด low chill cultivar ที่ต้องการ chilling requirement ไม่เกิน 200 ชั่วโมง

การปลูกและการปฏิบัติดูแลรักษา สำหรับประเทศไทย การปลูกพี้ช จะแนะนำให้ใช้ระยะปลูก 4 x 6 จนถึง 6 x 6 เมตร การจัดการทรงต้นแบบเปิดกลางทรงพุ่ม (Open center) เพื่อแผ่ทรงพุ่มออกให้กว้าง สามารถรับแสงแดดได้ดี ควรตัดแต่งไม่ให้กิ่งสูงมากเกินกว่าที่จะปฎิบัติงานได้สะดวกและดูแลรักษาได้ง่าย ถ้าสภาพแปลงเป็นพื้นที่ราดเอียงเกินร้อยละ 20 ควรมีการปรับพื้นที่ให้เป็นแบบขั้นบันได

เนื่องจากดินบนที่สูงมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำและมีสภาพเป็นกรดจัด การเตรียมหลุมปลูกจึงไม่ควรน้อยกว่า 0.7 x 0.7 x 0.7 เมตร ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอก 10-15 กิโลกรัม เศษพืชและปูนขาวหรือปูนโดโลไมท์เพื่อปรับให้ความเป็นกรดหรือด่าง (pH) ของดินอยู่ระหว่าง 6.5–6.8 ถ้าแปลงปลูกไม่มีแหล่งน้ำชลประทาน ช่วงเวลาปลูกที่เหมาะสมคือช่วง ต้นฤดูฝนเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน โดยปลูกต้นต่อก่อนแล้วทำการเปลี่ยนยอดพันธุ์ดีภายหลัง สำหรับพื้นที่มีน้ำชลประทานสามารถปลูกได้ด้วยต้นพันธุ์ดีเมื่อต้นพี้ชมีขนาดพร้อมปลูก และควรใช้วัสดุคุมดิน เช่น ใบหญ้าแฝก คลุมบนหลุมปลูก


การจัดทรงต้นและการตักแต่งกิ่ง การจัดทรงต้น (Training) และการตัดแต่งกิ่ง (Pruning) มีความสำคัญมากต่อการผลิตพี้ชเพื่อให้ได้ต้นพี้ชที่มีโครงสร้างของกิ่งแข็งแรง เจริญเติบโตเป็นอย่างดี ดูแลรักษาได้ง่าย และในที่สุดจะให้ผลผลิตที่ดีทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ทรงต้นที่ดีส่งผลให้การปฎิบัติงานในแปลงทำได้สะดวกรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต

การจัดทรงต้นพี้ชนิยมปฎิบัติคือ จัดทรงต้นแบบเปิดกลาง (Open center) โดนหลังจากเปลี่ยนด้วยยอดพันธุ์ดีแล้ว ให้เลี้ยงต้นพี้ชเพื่อมีลำต้นตั้งตรงเพียง 1 ลำต้นเท่านั้น เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม ต้นพี้ช จะโตมีกิ่งข้างหลายกิ่งพร้อมที่จะจัดทรงต้นได้ ให้ทำการตัดแต่งกิ่งที่อยู่ต่ำกว่า 30 ซม. เหนือพื้นดินออก จากนั้นเลือกกิ่งที่เจริญมาจากลำต้น สำหรับสำหรับใช้เป็นกิ่งโครงสร้าง โดยเลือกกิ่งกระจายออกไปรอบทรงต้น เป็นกิ่งทำมุมกว้างกับลำต้น จำนวน 3-5 กิ่ง และคอยควบคุมกิ่งโครงสร้างให้มีการเจริญเติบโตที่สม่ำเสมอกัน ไม่ควรปล่อยให้กิ่งข้างนี้เจริญเติบโตเป็นกิ่งยาวและพุ่งตั้งขึ้น ดังนั้นควรปลิดยอดของกิ่งข้างเมื่อกิ่งมีความยาวประมาณ 40-50 ซม. และเมื่อกิ่งข้างมีการแตกกิ่งใหม่ ก็ให้ปฎิบัติเช่นกัน

โดยปกติแล้วต้นพี้ชที่พึ่งปลูกและยังไม่ให้ผลผลิต ต้นจะมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่เข้าสู่การพักตัวในฤดูหนาว ยกเว้นในพื้นที่ที่มีอากาศเย็นจัด เช่น อ่างขาง ดังนั้นการจัดทรงต้นและการตัดแต่งกิ่งจึงต้องปฎิบัติอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโครงสร้างต้นที่แข็งแรงและเหมาะสม แต่ในพื้นที่ที่ต้นพี้ชเข้าสู่การพักตัวในฤดูหนาว ให้จัดทรงต้นโดยควบคุมให้กิ่งโครงสร้างทั้งหมดแผ่กางออก ให้ได้ทรงต้นเปิดและกิ่งไม่สูง กิ่งโครงสร้างต้องควบคุมไม่ให้สูงเกิน 2 เมตร โดยใช้วิธีโน้มกิ่งและตัดแต่กิ่ง เมื่อต้นพี้ชเข้าสู่ฤดูหนาวเป็นครั้งที่สองจึงจะมีการพักตัวเกิดขึ้น การจัดทรงต้นและการตัดแต่งยังเน้นการทำให้ได้ทรงต้นแบบเปิดกลาง มีกิ่งโครงสร้างประมาณ 3-5 กิ่งที่แผ่ออกรอบต้น ความสูงต้นไม่เกิน 2 เมตร

พี้ชเป็นพืชที่เจริญเติบโตและให้ผลผลิตเร็ว แต่ในขณะเดียวกันต้นมีการทรุดโทรมและไม่ให้ผลผลิกได้ง่ายมากถ้าขาดการตัดแต่งกิ่ง ดังนั้นการตัดแต่งกิ่งจึงเป็นหัวใจสำคัญของการที่จะทำให้ต้นพี้ชแข็งแรงสมบูรณ์ให้ผลผลิตได้ดีและสม่ำเสมอ การตัดแต่งกิ่งจะต้องทำปีละ 2-3 ครั้ง ตามช่วงระยะการเจริญเติบโตคือ การตัดแต่งในช่วงพักตัว 1 ครั้ง และการตัดแต่งกิ่งในฤดูเจริญเติบโต 1-2 ครั้ง

การให้ปุ๋ย แปลงปลูกพี้ชควรมีการเก็บตัวอย่างดินในช่วงการพักตัวของต้นพี้ช เพื่อตรวจวิเคราะห์ธาตุอาหารและวัดค่า pH เป็นประจำทุกปี เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการให้ปุ๋ยต่อไป เวลาที่เหมาะสมต่อการเก็บตัวอย่างดินคือก่อนที่ต้นพี้ชจะพ้นการพักตัว หรือประมาณ เดือน ตุลาคม ถึง พฤศจิกายน ตัวอย่างดินควรสุ่มเก็บที่ระดับความลึก 2 ระดับคือ 5-10 ซม. และ 30-40 ซม. เนื่องจากเป็นระดับที่พบรากของต้นพี้ชเป็นจำนวนมาก

การให้ปุ๋ยแก่ต้นพี้ชต้องให้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์เพื่อให้ดินมีธาตุอาหารเพียงพอต่อความต้องการของพืชและปรับสภาพความสมดุลของดินให้พืชสามารถใช้ธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนการใส่ปูนขาวหรือปูนโดโลไมท์ขึ้นอยู่กับสภาพความเป็นกรดด่างของดินในแต่ละพื้นที่ โดยส่วนใหญ่พื้นที่แปลงปลูกพี้ชมีสภาพดินที่เป็นกรดจึงต้องมีการใส่ปูนขาว หรือ ปูนโดโลไมท์ เพื่อลดความเป็นกรดของดิน การให้ปุ๋ยแก่ต้นพี้ชอย่างถูกต้องและเหมาะสมต้องคำนึงถึงช่วงระยะเวลาการเจริญเติบโตและขนาดของต้น การให้ปุ๋ยอย่างเพียงพอและเหมาะสมจะช่วยให้ต้นพี้ชเจริญเติบโตแข็งแรงสมบูรณ์ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ รสชาติดี ติดผลสม่ำเสมอทุกปี การใส่ปุ๋ยพี้ชแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ปุ๋ยที่ให้ในระยะที่ต้นพี้ชยังไม่ให้ผลผลิต และ ปุ๋ยที่ให้ในระยะที่ต้นพี้ชให้ผลผลิตแล้ว

ปริมาณปุ๋ยเคมีที่ให้แก่ต้นพี้ชต้องขึ้นอยู่กับปริมาณการติดผลของต้นพี้ชด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ปริมาณปุ๋ยที่แนะนำข้างต้น เป็นปริมาณที่ให้กับต้นพี้ชที่มีผลผลิต เฉลี่ย 15-20 กก. ต่อต้น ถ้าต้นพี้ชมีการติดผลจำนวนน้อย ก็สามารถลดปริมาณปุ๋ยลงได้ หรือ ถ้าต้นพี้ชมีขนาดใหญ่และมีการติดผลจำนวนมาก ก็สามารถเพิ่มปริมาณของปุ๋ยได้เช่นกัน


การปลิดผลและการห่อผล โดยปกติพี้ชจะมีการออกดอกและติดผลมาก ถ้าปล่อยให้มีการติดผลจำนวนมากจะทำให้ผลมีขนาดเล็ก ไม่ได้คุณภาพ จึงต้องมีการปลิดผลทิ้ง
จำนวนมาก ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือประมาณหลังจากติดผลประมาณ 15-30 วัน หรือหลังดอกบาน 2-3 สัปดาห์ ถ้าปลิดผลช้ากว่าที่กำหนด ผลที่เหลือบนต้นจะพัฒนาได้ช้าทำให้ผลคุณภาพต่ำ ปริมาณการไว้ผลให้พิจารณาจากความสมบูรณ์ของต้น โดยให้มีใบประมาณ 30-40 ใบเพื่อเลี้ยงผล 1 ผล หรือปลิดให้มีหนึ่งผลต่อความยาวกิ่งประมาณ 25-30 เซนติเมตร หลังจากปลิดผลแล้วทำการห่อผลด้วยถุงห่อผลเพื่อป้องกัน แมลงวันผลไม้เข้าทำลาย

การเก็บเกี่ยว อายุการเก็บเกี่ยวของพี้ชจะเก็บเกี่ยวได้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ อายุการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมของพี้ชจะใช้วิธีการสังเกตการเปลี่ยนสีของผลเป็นหลัก โดยจะเก็บเมื่อผลเปลี่ยนสีพื้นจากสีเขียวเป็นสีเหลืองและมีสีแดงเกิดขึ้นทับประมาณร้อยละ 40-50 ของผล แต่ถ้าเป็นพันธุ์เพื่อการแปรรูป เช่น พันธุ์ ‘Jade’ ซึ่งไม่มีสีทับเกิดขึ้น จะเริ่มเก็บเกี่ยวเมื่อสีพื้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองกว่าร้อยละ 70 เนื่องจากผลพี้ชสามารถสูญเสียได้อย่างรวดเร็วภายหลังการเก็บเกี่ยว ดังนั้นเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วไม่ควรแกะกระดาษห่อผลออก แต่ให้รีบนำผลผลิตเข้าโรงคัดบรรจุอย่างรวดเร็ว

การจัดการศัตรูพืช การป้องกันเป็นวิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดการกับศัตรูพืช สำหรับพี้ชควรเริ่มป้องกันตั้งแต่ในช่วงฤดูการพักตัวของต้นพี้ช โดยการใช้ปิโตรเลียมออยล์ผสมยากำจัดแมลง เป็นการทำความสะอาดต้น และเพื่อป้องกันเพลี้ยหอยและกำจัดสปอร์ของเชื้อราต่างๆ แมลงที่เป็นศัตรูสำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ แมลงวันทอง วิธีป้องกันที่ได้ผลดีที่สุดคือการห่อผลด้วยถุงกระดาษที่ออกแบบสำหรับห่อผลไม้โดยตรง นอกจากนี้การใช้กับดักด้วยฟีโรโมน หรือเหยื่อพิษด้วยโปรตีนออโตไลเสทผสมยากำจัดแมลง ก็ช่วยควบคุมแมลงวันทองได้ผลดี สำหรับโรคของต้นพี้ชในแปลงที่สำคัญคือ โรคยางไหล ซึ่งอาจควบคุมและป้องกันด้วยสารประกอบทองแดง โรคราสนิมเมื่อระบาดอย่างรุนแรงจะทำให้ใบร่วงเร็วและผลพี้ชเป็นแผลได้ ควรฉีดป้องกันด้วยสารเคมีเป็นประจำ โดยปกติแล้วเมื่อเลี้ยงดูต้นพี้ชให้สมบูรณ์และแข็งแรงดี ต้นพี้ชจะมีปัญหาโรคเข้ารบกวนลดลง  บ้านอะลาง

พี้ช ของมูลนิธิโครงการหลวง
โดย : รศ.ดร. อุณารุจ บุญประกอบ